+ All Categories
Home > Documents > DemoCrazy • Volume 18

DemoCrazy • Volume 18

Date post: 03-Mar-2016
Category:
Upload: democrazy-magazine
View: 220 times
Download: 0 times
Share this document with a friend
Description:
DemoCrazy Volume 18, May 2010
32
DemoCrazy ฏิ วั ติ คิ ติ วุ http://www.demo-crazy.com VOLUME พฤษภาคม 2553 18 MULTI-COLOR POWER สัมภาษณ สองสาวใสสุดจี๊ด จากการชุมนุม ของกลุมเสื้อหลากสี พวกเธอออกมาทําไม? อานตอ หนา 3 ในฉบับพบกับ เรื่องเลาในคืนนองเลือดโดย วรภัทร วีรพัฒนคุปต
Transcript
Page 1: DemoCrazy • Volume 18

DemoCrazy

ป ฏิ วั ติ ค ว า ม คิ ด ติ ด อ า ว ุธ ป ญ ญ า • http://www.demo-crazy.com VOLUME

พฤษภาคม 2553 18

MULTI-COLOR POWER

สัมภาษณ สองสาวใสสุดจี๊ด จากการชุมนุม ของกลุมเสื้อหลากสี พวกเธอออกมาทําไม? อานตอ หนา

3

ในฉบับพบกับ “เร่ืองเลาในคืนนองเลือด” โดย วรภัทร วีรพัฒนคุปต

Page 2: DemoCrazy • Volume 18

.2. DemoCrazy

Volume 18 | May 2010

ON THE WEB: www.demo-crazy.com

EDITORIAL รวมสมทบทุนเพื่อผลิตวารสาร

ธนาคารกรุงเทพ สาขาถนนวิภาวดีรังสิต บัญชีสะสมทรัพย เลขที่บัญชี 196-0-71142-0 ช่ือบัญชี สํานักพิมพเพ่ือนชีวิต

DemoCrazy

สถาปนา เมษายน พ.ศ.2551

บรรณาธิการ • แสงธรรม ชุนชฎาธาร

ผูชวยบรรณาธิการ • กิตตินันท นาคทอง

กองบรรณาธิการ • ยุรชัฎ ชาติสุทธิชัย • แบงค งามอรุณโชติ • ศตวรรษ อินทรายุธ • กฤติน ดิ่งแกว • กฤช วีรกุล • ภรณศมน จรีเวรุไวโรจน

ชางภาพ • รวมชัย ตันจันทรพงศ คอลัมนิสตประจํากองบรรณาธิการ

• ชเนษฎ ศรีสุโข • วรภัทร วีรพัฒนคุปต

• ธนิก วิไลลักษณ • ชฎาพร แยมรูการ

สมาชิกสัมพันธ (สมัครสมาชิก/รองเรียนการจดัสง)

• สุพัตรา พองพรหม โทรศัพท 089-420-0117

โครงการนิตยสาร DemoCrazy สํานักงานเลขที่ 90/43 หมูบานอยูเจริญ ซอยทรงสะอาด ถนนวิภาวดีรังสิต แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพ 10900

กองบรรณาธิการเดโมเครซี ่โทรศัพท 0-2277-6413 โทรสาร 0-2691-4609 อีเมล [email protected] สนับสนุนวารสาร โทร. 08-1813-7877

สมัครสมาชิก อุปถัมภรายป เพียง 500 บาท/ป

• รับเดโมเครซี่ 1 ป 12 ฉบับ สงถึงบานทางไปรษณีย • ของที่ระลึกสําหรับสมาชิก สมาชิกสัมพันธ โทร. 089-420-0117

บก.บอกกลาว

ประเทศไทยแพไมได แมวาการแสดงออกทาง

ความคิดเห็นทางการเมืองขณะนี้จะแบงออกเปนเฉดสีตางๆ คลายกับกีฬาสี แตการแขงขันครั้งนี้ คงไมเหมือนกับการแขงกีฬา ที่ผูชนะก็ตองไมหย่ิงยโสโอหัง ผูแพก็ตองมีน้ําใจนักกีฬา แลวมาเริ่มแขงขันกันใหม

แ ต ส ถ า น ก า ร ณ ท า งการเมืองขณะนี้ไมเหมือนกันเลย เดิมพันครั้งนี้มันสูงยิ่ง มันหมายถึงประเทศไทยทั้งประเทศ ไมใชแครูปรางลักษณะพื้นที่ของประเทศที่เปนรูปขวานทองเทานั้น หากแตยังหมายรวมถึง ประชาชนผูอยูอาศัยในผืนแผนดินไทยไมวาจะเปนเชื้อชาติใด ยังหมายรวมถึงระบอบการปกครองของประเทศ ยังหมายรวมถึงอธิปไตยของประเทศ ยังหมายรวมถึงระบบเศรษฐกิจ การคา และตลาดของประเทศ ยังหมาย รวมถึงเกียรติยศ ศักดิ์ศรีของคนในชาติ ยังหมายรวมถึงสถาบันหลักของชาติ และยังหมายรวมถึงชีวิต และความสุข ของทุกลมหายใจบนแผนดินไทย

เพราะฉะนั้น ประเทศไทยแพไมได! คุณทอได เหนื่อยได แพได ... แตประเทศไทยแพไมได ผมทอได เหนื่อยได แพได ... แตประเทศไทยแพไมได คนไทย 60 กวาลานคนทอได เหนื่อยได แพได... แตประเทศไทยแพไมได !!! หากจะมีมือสักคูมากอบมากูสถานการณ ณ ขณะนี้มันคงดี แตมาถึงขั้นนี้ มือคู

เดียวคงชวยประเทศไมได แมวามือคูนั้นจะมีอํานาจบารมีมากแคไหน แมวามือคูนั้นจะชวยประเทศชาติมาแลวนับครั้งไมถวน แตคราวนี้ถึงเวลาแลวหละที่มือคูอ่ืนอีกหลายๆลานคู จะตองมาชวยประเทศไทยใหพนจากภาวะพายแพ ถึงเวลาแลวหละที่มือคูอ่ืนๆ จะตองมาชวยเจาของมือคูนั้น

เวลานี้วิกฤตประเทศมาถึงแลว ใครทําอะไรไดตองทํา ใครทําอะไรไมไดก็ตองพยายามทํา

อยาใหการนิ่งเฉยของคุณ ทําใหเพ่ือนรวมชาติของคุณตองสูญเสีย อยาใหการนิ่งเฉยของคุณ ทําใหบานเมืองตองสูญสลาย เวลานี้คงเปนเวลาสําคัญที่จะบอกวา “ความเปนกลางคือหลุมหลบภัยของ

คนขี้ขลาด” ถึงเวลาที่คุณตองเลือกขางประเทศชาติ เลือกยืนขางความถูกตอง รวมปกปองประเทศชาติ

DemoCrazy เองก็จะพยายามทําทุกอยางเพ่ือไมใหประเทศไทยตองแพพายเชนเดียวกัน แมจะเปนเพียงเสียงเล็กๆ แตก็จะไมยอมใหเสียงเล็กๆ นี้เงียบไปเปนอันขาด

ตราบใดที่ยังเหลือขุนเขาแมกไม ฟนไฟ ลมหายใจ ประเทศชาติ ตราบนั้นเรายังคงมีความหวัง!

แสงธรรม ชุนชฎาธาร บรรณาธิการแพได แตประเทศไทยแพไมได

Page 3: DemoCrazy • Volume 18

DemoCrazy .3.

Volume 18 | May 2010

ประชาธิปไตยโดยคนรุนใหม

DemoCrazy’s People

สัมภาษณโดย SAKA_!

ทามกลางคล่ืนลมแหงวิ ถีการเมืองในปจจุบันดลบันดาลใหกลุมสีตางๆเกิดขึ้นมากมาย DemoCrazy ไดไปสังเกตการณการชุมนุมของกลุมเส้ือหลากสี ที่มีการชุมนุมอยางตอเนื่องตั้งแตวันที่ 13 เมษายน 2553 ที่อนุสาวรียชัยสมรภูมิ และเปลี่ยนพื้นที่ในการชุมนุมไปเรื่อยๆ โดยกลุมนี้จะชุมนุมทุกวันไมเวนวัน ในเวลาประมาณ 16.00 – 18.00 น. จากการสังเกตการณของDemoCrazy กลุมผูชุมนุมกลุมนี้มีกลุมคนรุนใหมมากหนาหลายตาทยอยกันมารวมไมเวนแตละวัน อะไรกันที่ทําใหพวกเขาเหลานั้นเงยหนาออกจากคอมพิวเตอร และกาวขาออกมาตากแดดตากลม? สงสัยไปสงสัยมา ก็ไปสะดุดตาสะดุดใจเขากับสองสาวรุนใหมใสจี๊ด DemoCrazy จึงพุงตรงเขาไปสัมภาษณแคะเคาะเจาะลึกเกี่ยวกับการชุมนุมในครั้งนี้

สิ่งใดกันเลาที่ถีบคุณออกจากบานจากพลังเงียบออกมาสงเสียงเปนพลังคนเคยเงียบ และรวมชุมนุมกับกลุมเสื้อหลากสี?

แตง: มันทนไมไหวแลว เรื่องหลักๆเลยที่ออกมาเปนเรื่องของสถาบันฯ การโจมตีสถาบันฯของกลุมคนเสื้อแดง จากสื่อตางๆที่ไดรับมา พวกเขาไมไดพูดถึงพลเอกเปรม จากหลักฐานหลายๆอยางแสดงวาอํามาตยเขาที่พูดถึงหมายถึงพระมหากษัตริย เชนที่วาอํามาตยอายุแปดสิบกวาป อํามาตยไมรักคนไทย ทั้งที่จริงๆทานรักมาก ส่ิงเหลานี้คือความตั้งใจจะกระทบกระเทียบอยางแรง สวนเรื่องการชุมนุมของกลุมเส้ือแดงที่กระทบกับสิทธิสวนบุคคลก็ รําคาญเปนปกติ แตประเด็นเรื่องการจาบจวงสถาบันฯ นี่แรงมาก

แตง(โม) อายุ 27 ป อาชีพ : AE

บริษัทออรกาไนเซอร

พลอย อายุ : … ป อาชีพ : ลามแปลภาษา

แตง(โม) • ไพลิน จารุนนทวิวัฒน อายุ 27 ป จบการศึกษาคณะศลิปะศาสตร มหาวทิยาลัยศรีปทุม อาชีพ : AE บริษัทออรกาไนเซอร

พลอย • มณีธันวา นัยนะแพทย จบการศึกษาคณะ BBA มหาวิทยาลัยอสัสัมชัญ อาชีพ : ลามแปลภาษา

Page 4: DemoCrazy • Volume 18

.4. DemoCrazy

Volume 18 | May 2010

พลอย : ฟงเรื่องของทักษิณมานานแลว โดยเฉพาะที่ใหสัมภาษณกับส่ือตางประเทศเปนภาษาอังกฤษ ในเมืองไทยบางคนอาจจะไมไดติดตาม แตเราเปนลาม ฟงดูแลวรูเลยวาเขาตั้งใจดูถูกและจาบจวงในหลวง โดยเฉพาะที่ใหสัมภาษณกับ Time Online

แตเขาก็บอกวาเขาภาษาอังกฤษไมดี เลยมีการสื่อสารผิดพลาด… พลอย : ไมจริง ภาษาอังกฤษของเขาดี ไปเรียนถึงเมืองนอกเมืองนา เพียงแตวาสําเนียงของเขาไมดีเฉยๆ จะปฏิเสธโดยบอกวาฟงคําถามไมรูเรื่องเลยตอบไมรูเรื่องไมได

พวกคุณออกมารวมชุมนุมทางการเมืองเปนครั้งแรกหรือเปลา? แตง : กอนหนานี้เคยสนับสนุนกลุมเส้ือเหลืองในการไลทักษิณ แตไมเคยออกมารวมชุมนุมเลย บางอยางก็อาจจะเห็นตางกับพันธมิตร แตนี่เปนครั้งแรกที่ทนไมไหวแลวออกมาจริงๆ ก็ออกมาหลายวันแลว พลอย : นี่เปนครั้งแรกและวันแรกที่ออกมาเลย หลังจากสังเกตการณมานานแลว มาครั้งแรกก็โดน DemoCrazy สัมภาษณเลย (หัวเราะ)

พอออกมารวมแลวความรูสึกในการรวมการชุมนุมของคุณทั้งสองคนเปนอยางไร?

พลอย : ไดอารมณรวมมาก นี่คือของจริง คนมารวมมากกวาที่เคยคิดไว และใชความสงบอยางไมนาเชื่อ นอกจากนั้นยังรักษาความสะอาดไดดีมาก แตง : คนที่มามากันดวยใจ เปนพลังเงียบมากันดวยหลายหลากเหตุผล เพราะขณะนี้บานเมืองวิกฤตถึงขนาดนั้นแลว ย่ิงเปรียบเทียบกับการชุมนุมของกลุมคนเสื้อแดงยิ่งเห็นความแตกตาง อยางในวันที่เขากระจายไปตามพื้นที่ตางๆทั่วกรุงเทพฯ ตอนนั้นก็มีรุนพ่ีที่เปนสีแดง เขามาชวนไปรับจางมาแสดงการตอนรับคนเสื้อแดง เพ่ือใหเห็นภาพวาคนกรุงเทพฯเห็นดวยกับเส้ือแดง อันนี้ เราก็เห็นชัดๆ เลยวาเขาจางมา

ในโลกยุคปจจุบันอินเตอรเน็ตมีผลกับความสนใจทางการเมืองของคนรุนใหมไหม? พลอย : มีผลมาก…(เนนเสียงยาว) คนไทยที่รักในหลวงหลายตอหลายคนที่อาจจะไมมีพ้ืนที่ในการแสดงออก เพราะไมสามารถมารวมได เชนอยูตางประเทศ เขาก็สามารถแสดงออกได เชนใน Facebook แสดงออกกันไดทั่วโลก แตง : ใช… คนรุนใหมมีพ้ืนที่ในการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองมากก็ในโลกอินเตอรเน็ตนี่แหละ แลวก็พากันออกมาแสดงออกจริงๆ จังๆ ทําใหกลาออกมารวมเพราะรูวาคนวัยเดียวกันก็ยังคิดเหมือนกันอีกมากและชวนกันออกมา ซึ่งส่ิงที่เกิดขึ้นมันคือการ

มารวมตัวกันของคนที่รักชาติ รักในหลวง ไมใชการชุมนุม ภาพท่ีออกไปดูสดใส สนุกสนาน และมีพลัง

ทามกลางสถานการณขณะนี้ที่มีระเบิดรายวัน ออกมาชุมนุมแบบนี้ แลวกังวลเรื่องเกี่ยวกับความปลอดภัยบางไหม? พลอย : ไมกลัวเลย เกิดมาครั้งเดียว ก็ตายครั้งเดียว ถาไดตายเพื่อชาติจะเปนไรไป แตง : (พยักเพยิดเห็นดวย) แตที่มานี่ก็ไมมีความรุนแรงอะไร ไมไดถูกยิง M79 มีแตถูกกลองรัวยิงชัตเตอร (หัวเราะ)

กับเหตุการณความรุนแรงเมื่อ 10 เมษายน 2553 คนรุนใหมรูสึกยังไง? แตง : รูสึกแยมากๆเลย ทําไมมันถึงเปนขนาดนี้ ไมใชคนไทยดวยกันหรือ ยอมรับวากลุมเส้ือแดงบางคนก็ไปชวยทหาร แตบางคนก็ลากทหารไปตื๊บ สวนคลิปที่เห็นคนเสื้อดําถืออาวุธสงคราม และมีเลเซอรยิงใสทหารระดับคุมกําลังแลวคนเสื้อแดงไปบอกวาเปนการตัดตอ ตองบอกวาบาหรือเปลา สงสยัฝายความมั่นคงวาทําไมไมใหทหารพกอาวุธ ทั้งๆที่รูวาอีกฝายมีอาวุธสงคราม

พลอย : ตอนน้ันพลอยไมไดอยูประเทศไทยไปทําธุระที่ตางประเทศเลยไมไดติดตามสถานการณอยางใกลชิด คิดวาความรุนแรงนาจะมาจากการที่กลุมคนเสื้อแดงไปยึดอาวุธทหาร

ทางออกของประเทศไทยขณะนี้คืออะไร? พลอย : ควรจะมีการยุติการชุมนุม

แตง : ตอนน้ีความแตกแยกมันเยอะไปหมดแลว แผลลึกแลวในสังคม ทางแกคือควรตองเผยแพรขอมูลที่ถูกตองอยางแรง นาจะเขาไปตาม อบต. อบจ. ที่เคาฟงแตเส้ือแดง ตองทําใหเขาใจใหไดเสียที!

ยุบสภาฯพอจะเปนทางออกไดไหม พลอย : อยายุบ...!!! แตง : ใหเปนไปตามวาระเถอะ

ถายุบสภาแลวมีการเลือกตั้งใหมทันทีจะเกิดอะไรขึ้น แตง : GDP ของประเทศจะกระเตื้องทันที คนจะมีรายได

จากการรับเงินชวงเลือกตั้ง เพราะพรรคบางพรรคเคาจะเอาเงินมาลงมากๆ เพ่ือหวังจะชนะแลวเปล่ียนทุกอยางใหได

ผลจะออกมาเปนยังไง? แตง : ไมอยากจะคิด พลอย : ดูแลวเคานาจะชนะนะถาทุมเงินสุดตัว แตประเทศ

จะแยมากเลย

Page 5: DemoCrazy • Volume 18

DemoCrazy .5.

Volume 18 | May 2010

สั่งซื้อโดยตรงที่ มาลีรตัน แกวกา โทร. 081-8136318

เซซามิโอ งาดําสกดัผสมน้ําผึง้

ราคาพิเศษ!

450.-

1 กลอง 10 ซอง

พวกคุณชอบใครที่สุดในกลุมคนเสื้อแดง? แตง : หา! %$&!@!! ถามยังง้ีจริงๆ เหรอ ถาชอบที่สุดก็

คงอริสมันต เพราะอยากใหเขาไปที่ชอบที่ชอบ พลอย : ชอบอริสมันต เพราะเขาทําใหเรามีเกมจับผิดใน

อินเตอรเน็ตเลน เกมจับผิดภาพอริสมันตปนตึก (รูปประกอบดานบน)

แลวใครบางที่คุณคิดวาไมเขาทา ในกลุมคนเสื้อแดง? แตง : ใจ อ้ึงภากรณ คนนี้มายุงกับพอเรามากเกินไป

พูดจาไมดีจาบจวง คนที่พูดจาอยางนี้แตงไมอยากใหเคาตายงาบ เคานาจะโดนคนไทยทุกคนตบปากทีละคนเพราะการจาบจวง

พลอย : พลอยไมชอบคนหนาคลายอึ่งอาง เพราะมันพองลมมากเกินไป ดูยโสโอหัง สยองพองขน โกหกไปวันๆ โดยไมสนใจวาคนทั่วไปเคาคิดยังไง

ไมอยากถามคําถามสุดทายเลย เพราะมันแปลวาเราตองจากกันแลว สุดทาย… อยากฝากอะไรกับผูอาน DemoCrazy ที่ตามอานมาจนถึงบรรทัดนี้

แตง : ออกมาทําอะไรกันไดแลว บานเมืองกําลังวุนวาย อยาเกงแคหนาคอมพิวเตอร!

พลอย : ประชาธิปไตยที่มีประมหากษัตริยเปนประมุข เปนระบอบที่ดีที่สุด เหมาะสมกับเมืองไทยที่สุด รักในหลวงของเรามากๆนะคะ และฝากถึงพวกแกนนําเสื้อแดงวา “แคสงสัย ทําไมไมรกัในหลวง”….

นั่นคือบทสัมภาษณที่ยังดังกองอยูในหู และอบอวลอยูในความทรงจําของ DemoCrazy …ถาคนรุนใหมของเราหันมาสนใจปญหาบานเมืองกันมากขึ้น เพราะปญหาและสถานการณที่ทักษิณสราง อยางนี้เราจะนับวาเปนคุณูปการเพียงหนึ่งเดียวของระบอบทักษิณไดไหมหนอ?

เกมจับผิดภาพ อริสมันตปนตึก แยกใหออกวาภาพไหนคืออริสมันต

ถาคุณทักษิณเคาปวยตายอยางที่มีขาวลือกันเรื่อยๆ เหตุการณจะจบไหม?

แตง : ยังไมจบ เพราะพวกคนที่คิดรายกับสถาบันคนอ่ืนๆยังอยู ตองจัดการใหดีไมใหสถาบันไดรับผลกระทบกระเทือน เชนใจ อ้ึงภากรณ ที่เขียนบทความแรงมาก มีคนเคาถามเหมือนกันวา แลวมึงไปโกรธเคาทําไม เคาดาพอมึงเหรอ ก็ตอบเคาไปวา เออ! เคาดาพอของเราจริงๆ นี่นา

พลอย : แตพลอยวาเหตุการณคงจะยังไมจบทันที แตจะคอยๆจบ คิดและหวังวามันจะจบ เพราะถาเคาไมอยูแลว กลุมผูชุมนุมก็จะไมมีคนเสี้ยม ไมมีน้ําเล้ียง และคงไมมีคนใหเงินแกนนําบางคนไปเปดรานอาหารไทยสาขาที่ 4 ที่เมืองนอก คนเหลานี้นาจะคอยๆ จางไป

แตง : (ถามขึ้นมา) แลวโอค เอม อุงอิ๊ง หละ? พลอย : พวกนั้นมีสมองที่ไหน

แลวถาสมมุติวาคุณเปนลูกทักษิณหละ คุณจะทํายังไงกับสถานการณนี้?

แตง : ไมสมมุติไดไหม รับไมได แตถาเกิดเปนจริงๆก็คนไมมีหนาไปลอยหนาลอยตาอยูที่นูนที่นี่ คงหลบไปอยูสักประเทศแบบเงียบๆ แลวใชเงินของพอมาจัดการอริสมันตกอนเลย คนนี้ทําลายประเทศไมไหวแลว

พลอย : เราคงจะนาสงสารมาก ตองสงบเสงี่ยมเจียมตัว เพราะคงทําอะไรไมได คงจะบอกพอวาถาไมสงสารประเทศชาติ ก็สงสารลูกบาง

Page 6: DemoCrazy • Volume 18

.6. DemoCrazy

Volume 18 | May 2010

พลเมืองหลากส ีภาพโดย รวมชัย ตันจันทรพงศ

เก็บภาพบรรยากาศการรวมตัวกันของกลุมคนเสื้อหลากสี ที่ตอตานการทําเพ่ือคนคนเดียวของคนเสื้อแดง โดย รวมชัย ตันจันทรพงศ ตากลองมือใหมที่เพ่ิงหดัถายภาพไดไมถึงเดือน ก็เจองานที่ทาทาย ดูมุมมองการชุมนุมผานเลนสของเขาไดเลย...

ติดตามผลงานของรวมชัยไดที่ www.facebook.com/ruamchai.tanchanpong

Page 7: DemoCrazy • Volume 18

DemoCrazy .7.

Volume 18 | May 2010

Page 8: DemoCrazy • Volume 18

.8. DemoCrazy

Volume 18 | May 2010

Page 9: DemoCrazy • Volume 18

DemoCrazy .9.

Volume 18 | May 2010

Page 10: DemoCrazy • Volume 18

.10. DemoCrazy

Volume 18 | May 2010

Thai Reform กฤติน ดิ่งแกว นักศึกษาคณะนิติศาสตร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร

ผมวาวันนี้ ”ประเทศไทย” กับ “ประชาธิปไตย” ทิ้งชวงระยะหางกันมากกวาเดิม

แตถาถามวาผมเอาอะไรมาเปนมาตรวัดความหางที่วานั้น? ผมก็ไมรูหรอกครับ เพราะย่ิงนานไป ผมก็คิดไดไมครบถวนสักที วาอะไรคือคุณสมบัติของรัฐที่จะเรียกไดวาเปนรัฐ ‘ประชาธิปไตย’ (ดูนาอับอายนะครับ เรียนกฎหมายมาขนาดนี้แลว ยังใหความหมายคําๆเดียวนี้ไมได หรือวายิ่งเรียนยิ่งหาคําตอบไมไดก็ไมรูนะ...) แตอยางหนึ่งที่ผมมั่นใจก็คือ ประชาธิปไตยจะไมมีทางเกิดขึ้นโดยการสูญเสียเลือดเนื้อและชีวิต!!

ปฏิเสธมั้ยละครับวา ประเทศไทยทุกวันนี้อยูในสภาวะ ‘เลอะ-ลม-เหลว-แหลก’ เรามีประชาชนจํานวนไมนอยที่กําลังใชเสรีภาพอยางฟุงเฟอ จนมองขามหนาที่ของพลเมือง ซ้ํารายยังมีคนบางกลุมวางตัวเหนือกฎหมาย ทําทุกอยางที่กฎหมายหามโดยไมเกรงกลัวความผิด ไมสนใจวากําลังขัดขืนกติกาที่สังคมรวมกันกําหนดขึ้น ปฏิเสธความคิดเห็นของคนอื่นโดยสิ้นเชิง จนผมเองก็ไมแนใจวา ส่ิงที่เขาทํา คือแบบอยางของสังคมประชาธิปไตยที่พวกเขาเรียกรองกันจริงๆหรือ ถาเปนเชนนั้นจริง ผมก็คงไมอยากไดประชาธิปไตย (แบบนั้น) หรอก

เหมื อนประ เทศไทยจะยั ง โชคร ายไมพอ เพราะ ในสถานการณไมปกติ เราก็มีรัฐบาลที่ไมสามารถรักษาความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมายเอาไวได ถึงกับมีการพูดกันวา ขนาด”กฎหมา” ยังบังคับใชไดดีกวา “กฎหมาย” มิหนําซ้ํารัฐบาลยังยอมในส่ิงที่ไมควรยอม ทําในส่ิงที่ไมควรทํา และไมทําในสิ่งที่ตองทํา อาการละลาละลังของรัฐบาลทําใหประชาชนที่หวังจะเห็นความสงบตองปวดใจตามๆกันไป นิติรัฐที่พยายามจะสรางก็กลับพังทลายเหมือนปราสาททรายยามคลื่น

ปฏิรูปประเทศไทย : ขอเสนอเพื่อการ ‘หยดุพูด’ แลว ‘เริ่มทํา’ ?

ซัด ไมตองพูดถึงเรื่องปญหาสังคม เศรษฐกิจที่นับวันจะย่ําแย จิตใจของประชาชนทั่วไปเส่ือมลงเพราะขาดสติ ไมเรียนรูที่จะยอมรับความแตกตาง จิตสํานึกพลเมืองเปนส่ิงที่หาไดยากขึ้นทุกทีในสังคมไทย ที่แตไหนแตไรมาไดชื่อวาเปนสังคมแหงความรวมมือรวมใจ จนทาน ว.วชิรเมธี ไดนิยามสภาพสังคมไทยปจจุบันวา “การเมืองวิกฤติ เศรษฐกิจวิกล คนวิวาท ชาติวิโยค” ถึงตรงนี้ ส่ิงที่แวบขึ้นในหัวผมก็คือ ตกลงนี่ใชมั้ยคือประเทศไทยที่เราตองการ? ถาไมใช แลวเราอยากไดประเทศไทยแบบไหน?

ปญหาเหลานี้มีความพยายามในการแกไขมาหลายสิบป แตพูดกันตามตรงเถอะครับ มีปญหาไหนบางที่แกไขไดแลวบาง? พอจะแกปญหาการเมือง ก็ไปติดที่อํานาจของคนนั้น ผลประโยชนของคนน้ี ตามสไตลการเมืองเกาๆที่มัวแตเสพอํานาจ พอจะแกปญหาสังคม ก็เหนื่อยใจกับระบบการศึกษาที่มัวแตผลิตคนเขาระบบแรงงาน ไมไดสอนใหดํารงชีวิตในสังคมได เจอเขาแบบนี้ คนที่ต้ังใจจะแกปญหาประเทศชาติก็เหนื่อยใจ ทอแทเสียจนเลิกสนใจ แลวกลับไปใชชีวิตเปนพลเมืองที่ดีอยูเพียงลําพัง ... ไมรูเหมือนกันนะครับวาเราเสียคนที่ต้ังใจดีแบบนี้ไปกี่คนแลว

แลวปจจุบันรัฐบาลจะทําอะไรตอไปเพ่ือแกปญหาที่ซับซอนแบบน้ี...ก็ไมมีใครรูอีกเหมือนกัน เพราะสิ่งที่รัฐบาลสื่อสารออกมาตอนนี้ไมมีอะไรมากไปกวา “ประชามติ แกรัฐธรรมนูญ ยุบสภา เลือกตั้งใหม” วนไปวนมาอยูอยางนั้น กลายเปนการแกปญหาเพ่ืออนาคตระยะสั้น ไมสนใจจะวางเปาหมายของประเทศในระยะยาวเลย

เหตุผลเทานี้ เพียงพอหรือยังครับที่เราทุกคนในชาติจะมารวมกัน “ปฏิรูปประเทศไทย” กันจริงๆ เสียที

Page 11: DemoCrazy • Volume 18

DemoCrazy .11.

Volume 18 | May 2010

ปฏิรูป ว. สมควร, เหมาะสม, เชน ปฏิรูปเทส คือถ่ินที่สมควร หรือ ถ่ินที่เหมาะสม ;

เทียม, ไมแท, เชน มิตรปฏิรูป. ก. ปรับปรุงใหสมควร เชน ปฏิรูปบานเมือง. (ป.).

เปดพจนานุกรมคนคําวา ‘ปฏิรูป’ ถึงไดเขาใจวาที่ผานมาเราปฏิรูปกันไมสําเร็จ ก็เพราะเรามัวแตพูด ซึ่งการพูดอยางเดียวนั้น ไมอาจทําใหเกิดการ ’ปรับปรุงใหสมควร’ ได

แลวทีนี้เราจะเริ่มยังไง? คําถามแรกคงหนีไมพน “ใครจะเปนคนเริ่ม”

หลายคนบอกวาภาคประชาชนตองเริ่มกอน ซึ่งผมเองก็เห็นดวยอยางยิ่งในหลักการ เพราะการเปลี่ยนแปลงที่เริ่มจากประชาชนขึ้นไปสูภาครัฐ มักจะเกิดผลที่รวดเร็วกวาการเปลี่ยนแปลงจากภาครัฐลงมา ตัวอยางที่นาจะเทียบเคียงไดก็คือกระแสธงเขียว ที่เรียกรองการปฏิรูปการเมืองจนเกิดรัฐธรรมนูญ 2540 แตพอเปนสมัยนี้ สมัยที่ประชาชนที่มีความคิดเห็น (โดยเฉพาะความคิดเห็นทางการเมือง) รวมกลุมเพ่ือเรียกรองใหรัฐบาลทําตามขอเรียกรองของตน ความเห็นของแตละกลุมที่แตกตางกัน (อยางมาก) นี้เอง หากจะรอใหทุกกลุมเริ่มดําเนินการกันไปกอน อาจทําใหกระบวนการปฏิรูปประเทศดําเนินไปไดไมราบรื่นนัก ครั้นจะใหรัฐบาลดําเนินการ ก็อาจจะมีคนปฏิเสธโดยมีความคิดเห็นของกลุมวารัฐบาลมีความไมชอบธรรมตางๆ นานา ผมจึงมองไปอีกทางหนึ่ง วาหากประชาชนจะเริ่มปฏิรูปการเมือง ไมวาจะกลุมความคิดใด ก็ตองรวมใจกันเสนอใหรัฐบาลดําเนินการเพ่ือใหมีเจาภาพในการปฏิรูปประเทศเสียกอน โดยอาจเสนอรูปแบบและท่ีมาของเจาภาพ (ในรูปของคณะกรรมการ หรือสภาเพื่อการปฏิรูปประเทศ) เพ่ือใหรัฐบาลแกไขรัฐธรรมนูญ เพ่ิมเติมหมวดที่วาดวยการปฏิรูปประเทศ เพ่ือใหกระบวนการดังกลาวเกิดสภาพบังคับในเชิงสัญลักษณ (ตามความเชื่อของระบบการเมืองไทยที่วา ส่ิงที่ถูกบัญญัติในรัฐธรรมนูญ มีความศักดิ์สิทธิ์ในตัวเอง แมไมมีบทกําหนดโทษก็ตาม) และเปนการเริ่มกระบวนการปฏิรูปประเทศโดยสมบูรณ

อยางไรก็ตาม ที่ผมอธิบายมานี้เปนเพียง ‘รูปแบบ’ เทานั้น การปฏิรูปที่จะสําเร็จไดนั้น ผมยังยืนยันวาทุกๆ ฝายตองมีสวนรวม ดังนั้นเมื่อภาครัฐเปดโอกาสใหแลว ภาคพลเมืองเองก็ตองตื่นตัวมากพอที่จะรวมกันปฏิรูปประเทศ อยางนอยที่สุดก็ดวยการปฏิรูปตัวเราเอง คิดงายๆ เลยครับวาประเทศไทยที่เราตองการ จะตองมีประชากรที่มีลักษณะอยางไร คิดไดยังไง ก็ทําอยางนั้นเลยครับ รัฐบาลอาจจะลองกําหนดชวงระยะเวลาสักเดือนหน่ึง เรียกวาชวงเวลาของ ‘คนไทยที่พึงประสงค’ เพ่ือใหคนไทยที่อยากจะเห็นประเทศไทยที่ดีกวา ไดรวมกันเรียนรูในการเปนพลเมืองที่ดีของชาติในทุกๆ ดาน โดยภาครัฐจะเปนฝายกระตุนประชาชนใหคิดถึงประโยชนที่ชาติจะไดรับเปนสําคัญ โดยไมไปบังคับหรือกําหนดเสียเองวาประชาชนจะตองทําตัวอยางไร (พูดงายๆ คือใหประชาชนกําหนดประเทศดวยตัวเอง)

รวมทั้งขยายระยะเวลาไปเรื่อยๆ จนสํานึกพลเมืองไดซึมซาบเขาสูวิถีชีวิตของประชาชนโดยสมบูรณ ความรักและหวงแหนในชาติก็จะตามมา วิธีการนี้ไมตองพูดถึงเลยครับวาใชระยะเวลานานเทาไหร (เพราะนานแนๆ) แตผลที่ไดจะดีกวาการสรางความรักชาติแบบฉาบฉวยอยางที่ทํากันทุกวันนี้อยางไมตองสงสัยเลยครับ

กลับมาที่การปฏิรูปในทางรูปแบบกันตอนะครับ... ส่ิงที่เราทํากันมาซ้ําๆ เดิมๆ คือการเขียนรัฐธรรมนูญขึ้นใหม

เพ่ือแกปญหาเกาๆ แถมเปนการแกที่ปลายเหตุ โดยไมรูวาปญหาที่แทจริงมีตนสายมาจากอะไร หนึ่งในนั้นเปนคําถามที่ยังถกเถียงกันอยูไมจบวา ตกลงปญหาทั้งหมดอยูที่ระบบ หรืออยูที่ตัวบุคคล? ที่จริงปญหาบางเรื่องอาจเกิดจากระบบ บางเรื่องอาจเกิดจากตัวบุคคล แตไมวาจะอยางไรผมเห็นวา หากเราสามารถแกปญหาที่ระบบ ก็มั่นใจไดในระดับหนึ่งวาตัวบุคคลอาจจะสรางปญหานอยลง เพราะหากบุคคลที่เกี่ยวของมีสํานึกพลเมือง ก็จะไมสรางปญหาใหสังคมเปนแน ผมจึงมองวาเราควรชวยกันปรับปรุงระบบ ใหเหมาะสมกับสภาพท่ีประเทศไทยสามารถ ‘ใช’ ในการทําให ‘บรรลุ’ เปาหมายที่ตองการได สวนการรางรัฐธรรมนูญใหม ผมวาก็เปนเรื่องที่ควรทํา แตการรางรัฐธรรมนูญจะไมใชธงหลักของการปฏิรูปประเทศไทย ที่มุงเนน’การปรับปรุงทุกส่ิงใหดีขึ้น’

ผมลืมพูดเรื่องการกําหนดเปาหมายไปใชมั้ยครับ? ผมคิดวาการกําหนดเปาหมาย เปนเรื่องที่สําคัญ ”อยาง

ย่ิงยวด” และตองมาจากความคิดเห็นของคนทั้งประเทศ ที่ไหลมาสูคณะกรรมการ/สภาเพื่อการปฏิรูปประเทศ กอนจะสังเคราะหออกมาเปน ‘เปาหมายประเทศไทย’ เปาหมายที่วานี้จะไมเปนเพียงคําขวัญหนึ่งบรรทัด ที่ดูสวยหรูแตมีรูโบ (คือเอาไปใชจริงไมได) เปาหมายนี้จะตองพูดถึงเรื่องทุกเรื่องที่ประเทศไทยจําเปนในการขับเคล่ือน ไมวาจะเปนเปาหมายดานการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ศิลปวัฒนธรรม การศกึษา กฎหมายและกระบวนการยุติธรรม การสื่อสารมวลชน การปองกันการทุจริต ฯลฯ โดยทุกเรื่องจะมีตัวแทนในคณะกรรมการ/สภาปฏิรูปประเทศที่มีความรูความเชี่ยวชาญในเรื่องนั้นๆ รับผิดชอบในการเปดรับฟงความคิดเห็นจากประชาชน “อยางเปดกวางและจริงใจ” กอนจะสรุปเปนเปาหมายของแตละเรื่อง (อาจจะแถมวิธีการไปสูเปาหมายดวย) เปาหมายที่วานี้สําคัญมาก เพราะเมื่อมีการ ‘ประกาศเปาหมาย’ ก็เทากับวาเปนประกาศเจตนารมณรวมกันในการพัฒนาชาติ ตอจากนี้ไปจะตองไดรับความรวมมืออยางสูงจากทุกๆฝาย และหากเราสามารถสรางพลเมืองไทยท่ีพึงประสงค(อยางที่กลาวไปแลว)ไดในชวงนี้ ผมวาการปฏิรูปประเทศจะเดินหนาไดเร็วขึ้น เพราะอาจจะหมายรวมถึงการเสียสละผลประโยชนหรืออํานาจของกลุมการเมืองเกาๆ เพ่ือส่ิงที่ดีกวาที่ประชาชนไดกําหนดแลว...

ไวมีโอกาสจะเขียนตอถึงกระบวนการตอจากนี้นะครับ อยากแลกเปลี่ยนกับคุณผูอานจังเลย เขียนมาคุยกันไดที่ [email protected] นะครับ ... จริงจังนะเรื่องเนี้ย!!

“ประเทศไทยที่เราตองการ จะตองมีประชากร ที่มีลักษณะอยางไร คิดไดยังไง ก็ทําอยางนั้น”

Page 12: DemoCrazy • Volume 18

.12. DemoCrazy

Volume 18 | May 2010

แลววันพรุงนี้...จะดีกวาเดิม แบงค งามอรุณโชติ • นิสิตปริญญาโท คณะเศรษฐศาสตร จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย • http://bankngam.wordpress.com

มองสังคมไทยโดยกรอบ “ความใหม (Modernity)”

หากจะกลาวถึงเรื่องของความใหมแลว เราคงจะคุนชินกับคําวา กอนสมัยใหม (Pre-modern), สมัยใหม (Modern) และ หลังสมัยใหม (Postmodern) กันอยูบาง แตหากถามวา มันคืออะไรกันแน ทีนี้หละครับเริ่มเกาหัว ขยับตัวไมติดเกาอี้กันถวนหนา ไมเวนแมกระทั่งคนที่อางถึงคําเหลานี้อยูบอยครั้ง ก็อาจจะกลับมาตั้งคําถามกับตัวเองวา “เอ แลวมันคืออะไรกันนิ๊” ผมเปนคนหนึ่งที่หลีกเล่ียงไมใชคําทั้งสามคําขางตน โดยเฉพาะไอที่บอกวากอนและหลังสมัยใหมนี่ย่ิงไมเคยไดใชเลยครับ เพราะ ลําพังการจะกลาวใหชัดเจนลงไปถึงคําวา “สมัยใหม” นี่ก็ปวดกบาลพอสมควรแลว กระทั่งมาถึงบาง (เกือบ) ออ ก็ตอนไดอานงานชื่อ POST MODERN ชะตากรรมโพสตโมเดิรนในอุงมือนักปรัชญาการเมืองโบราณ ของอาจารยไชยยันต ไชยพร, ผูเชี่ยวชาญดานการฉีกบัตรเลือกตั้ง (อยางนอยพอผมก็รูจักอาจารยในฐานะดังกลาว) จึงขอขอบคุณมา ณ ที่นี้ดวยครับ

หนังสือของอาจารยไชยยันต เปรียบเปรยตัวอาจารยเองเปนเสมือนพนักงานขายวิชา ที่ตองการจะขาย “อะไรใหมๆ” ใหแกนิสิต ไดเขาใจ โดยการจะเขาใจอะไรใหมๆ ไดโดยที่ไมทราบวา อะไรที่มันเกาๆคืออะไร? และ อะไรที่มันจะใหมกวาคืออะไร? นั้นก็จะเปนการเขาไมถึงอะไรใหมๆ เพราะ มันจะใหมไดก็โดยเปรียบเทียบกับอะไรเกาๆบางอยาง หรือ อะไรที่ใหมกวาบางสิ่งนั้นเอง (ผมคงติดวิธีการเขียนชวนหัวเชนนี้มาจากอาจารยไชยยันตซะแลวหละครับ, ไมนาเลย) กลาวใหงายเขา อาจารยไชยยันตพยายาม “ขาย” ความรูเรื่อง “หลังสมัยใหม” ดวยการชี้ใหนิสิตนักศึกษาในชั้นไดเขาใจเสียกอนวา ไอที่เราเรียกวา “สมัยเกา” และ “สมัยใหม” นั้นเปนอยางไรนั่นเอง โดยที่วาเกา, ใหม และ ใหมกวา ที่กลาวมาเกือบทั้งหมดนั้น เปนโลกทัศนที่มีศูนยกลางอยูที่ “ตะวันตก” นั่นเอง

รายละเอียดแบบลดรูปใหรวบรัดกระทัดทรง อาจกลาวไดวา โลกเรามีกลุมคนที่เปน “สมัยเกา” (Ancient) ซึ่งมองวา เพลโต, โสเครติส ไดใหหลักอันมั่นคงเอาไวโดยสมบูรณ ดีแลว ถือเปนจุดยุติในการแสวงหาคําตอบที่เด็ดขาดฉลาดเฉลียว เกินกวาภูมิปญญาฉาบฉวยในปจจุบันจะจับไดไลทัน หรือ หักลางลงได ในขณะที่อีกฝากหนึ่ง กลุมคนแบบสมัยใหม (Modern) ตางรูสึกตื่นรู (Enlighten) เมื่อไดเขาถึงวิทยาศาสตร อันใหกฎเกณฑที่ตายตัว, การทํานายที่แมนยํา และ การควบคุมซึ่งธรรมชาติไดในระดับหนึ่ง ซึ่งสงผลให เกิดการปะทะกระทั้นกันอยูตลอดเวลา โดยเฉพาะกลุมสมัยใหมนั้น เริ่มรุกไลที่จะวิพากษ กลุมสมัยเกาวา แข็งทื่อตายตัว, งมงาย และ ขาดมาตรฐานที่แนนอนเปนสากล ซึงตัวอยางที่ชัดเจนก็เชน กลุมสมัยเกาอาจเชื่อมั่นในศาสนา-ศาสดา ในขณะที่ หัวหอกสมัยใหมอยาง นิทเช (Nietzsche) กลับประกาศอหังการวา “พระเจาตายแลว” เปนตน

เมื่อวิเคราะหอยางถึงที่สุดก็จะพบวา “หลักการ” ของความเปนสมัยเกากัดกินตนเอง โดยไมรูตัว อาทิ เมื่อเรากลาววา ส่ิงที่คนพบในยุคกอนสมัยใหม หรือ งายๆ คือ ของที่คนบุราณนานปเคา

คนพบไวชางประเสริฐอยูแลว เราเพียงเขาใหถึงอินใหได แลวเอากลับใชใหเขากับสถานการณปจจุบันเทานั้น เทากับวา ชุดความรูที่มีอยูบนโลกควรที่จะ “เทาเดิมตลอด” กลาวคือ แคเปล่ียนรูปแบบการประยุกต แตหลักการไมไดเปล่ียนไปเลย เพราะหากคิดจะพัฒนาหลักการสําคัญของสมัยเกาไปเสียแลวก็จะกลายเปนสมัยใหมไปเสียนี่ ความเปนสมัยเกาจึงตองเกาเก็บแบบจอนนี่วอรคเกอรบลูเลเบ้ิล เรียกวายิ่งเกายิ่งเกา (ไมเชื่อดูซิ เรื่องกวาสองพันปแลว อ.ไชยยันต ยังเอามาทําเงินได, แถมขายซ้ําขายซอนไดไมรูจบสิบกวาปมาแลวอีกตางหาก)

ในขณะที่บรรดาสมัยใหม ทั้งหลายก็ตองหมั่นใหมใหตลอดคือ นอกจากใหมเมื่อเทียบกับสมัยเกาแลว พวกเดิ้ลทั้งหลายยังตองใหมเมื่อเทียบกับใหมดวย ดังนั้น เมื่อมีพวกพยายามใหมให “ใหมกวาเดิม” เยอะเขา ก็ทําใหเกิดพวก “หลังสมัยใหม” ขึ้นมานั้นเอง (เรื่องชักไปกันใหม เอย! ใหญ แลวหละซิครับ พ่ีนอง) ทวา การทําอะไรใหมๆเพียงแคใหรู-เขาใจ-วิพากษบางอยาง มากขึ้นกวาสมัยใหมนั้นยังไมถือวาเปนกลุม หลังสมัยใหมเสียทีเดียว การจะเปนหลังสมัยใหมไดนั้น จะตองเอาการเอางานกับการวิพากษ “ตัวสมัยใหม”เสียเอง (ซึ่งควรเปนธรรมชาติของพวกสมัยใหมอยูแลว ไมเชนนั้นคงตองกลาวหาเสียวาเปนใหมเนียน-ใหมไมจริง-ใหมขี้ฮกจกเปรต)

กลาวคือ ภายหลังเกิดกลุมสมัยใหมขึ้น กลุมสมัยใหมนั้น ไดละทิ้งโลกนามธรรมเขาสูโลกของการชั่งตวงวัด, โลกซึ่งมีสัณฐานอยูบนความแนนอนชุดหนึ่ง ความมีเหตุมีผลที่ชัดเจนดุจเดียวกับความแนนอนซึ่งเผยใหเห็นในทางคณิตศาสตรวา 1+1=2 ฯลฯ ซึ่งสุดทายแลวความพยายามถอดสมัยเกาออกจากสังคม (หรืออยางนอยก็ตัวปจเจกเอง) ไดสงผลใหสังคม หรือ ปจเจกชนที่ชื่นชมสมัยใหม ดูเปลาเปลือยจาก “จิตวิญญาณ” และ การตีความที่กวางขวางแตเดิมก็หดตัวลงอยางมาก จนเครงครัดกระทั่งแข็งทื่อตายตัวมากเกินไป ในการนี้ กลุมหลังสมัยใหมจึงมองวา แทจริงแลวพวกสมัยใหมนั้น ไมไดทําใหเกิดชุดกฎเกณฑอันเปนขอเท็จจริงแท แตเปนการสราง “อภิมหาอรรถาธิบาย” (Meta-narrative) ขึ้นมาเพื่อกะเกณฑ ใหเกิดเสนแบงแหงที่ สําหรับจําแนกแยกแยะและใหความหมายแกสถานะบางอยางดวย “คํา” ที่ทรงพลัง อาทิ โงเงาเตาตุน-ฉลาดบัดซบเลิกคบดีกวา, ดีที่โลกลืม-เลวลืมโลก เปนตน กลาวอยางถึงที่สุดแลว กลุมหลังสมัยใหมมุงที่จะริดทําลายเสนแบงเหลานี้ ใหจงได นั่นเอง

Page 13: DemoCrazy • Volume 18

DemoCrazy .13.

Volume 18 | May 2010

ยอนกลับไปยอหนาที่สองบรรทัดสุดทาย เราจะพบวา โลกทัศนเชนวานี้ เปนการแบงสรร และ ใหนิยามคํา ของความใหมในแบบตะวันตกเปนสําคัญ คําถามคือ แลวหากเราเอากรอบแนวคิดเรื่องความใหมดังกลาวมาสวมกอดเขากับ “ประเทศไทย” แลว เราจะอธิบายความใหมของสังคมไทยไดอยางไรบาง? อ.ไชยยันต ไดกลาวถึงแนวทางการตอบคําถามนี้เอาไวคอนขางนาสนใจ (อันที่จริง อ.ไมไดใหแนวทางตอบ แต อ.ชี้ใหเห็นวานิสิตของอาจารยจากสองสํานักคิด ซึ่งไดแก เกษตร-จุฬาฯ เห็นวาอยางไร) กลาวคือ ประเทศไทย น้ันมีสถานะความใหม ก้ํากึ่งอยูระหวางความเปนสมัยใหมและสมัยเกา ทั้งนี้เพราะ เราจะพบวา “ในเมือง” เราเขาถึงศาสตรและบูชาวิทยาการความรู มากกวา การกราบไหวบูชาเจลแปะหนาผากลดไขซึ่งตกมาจากฟา (เหมือนที่ภาคชนบททําไดอยางเปนธรรมชาติ ไรจริตจะกานมารยาสิ้นเดียงสาเสียนี่กระไร) ประเทศไทย จึงเกา-ใหมไมพรอมกัน

ในสวนของผูเขียนนั้น ถามองแบบสมัยใหม (คือยังพยายามใชเหตุใชผลในการอธิบาย-ขีดเสน ใหแกความใหมของสังคมไทยอยู) ผูเขียนคิดวา เราอาจใชเกณฑอ่ืนนอกเหนือจาก “พ้ืนที่” ในการแบงความเกา-ใหม ของสังคมไทยไดเชนกัน อาทิ การแบงความเกาใหมโดยใชเกณฑทาง “ชนชั้น” โดยหากเรามองสังคมไทยแบบโครงสรางระบอบผสม (Structural of mixed regime) ตามแนวคิดของ อริสโตเติ้ล (ผมดูเปนพวกสมัยเกาดวยการอางภูมิปญญาดั้งเดิม ทั้งๆ ที่พ่ึงบอกวาตนเองจะวิเคราะหแบบสมัยใหม, งงไหมครับ... ผมงง?) สังคมคงแบงออกไดเปนสามระดับดวยกันคือ (1) โครงขายของเอกอัครปญญาชนสาธารณะ (Network of monarchy), (2) อภิชน (Aristocrat) และ (3) ปจเจกชนคนธรรมดา (Population) ซึ่งแตละชนชั้น มีระดับพัฒนาการของความใหมไมเหมือนกัน โดยผมขอตั้งขอสังเกตไวดังนี้คือ

บรรดาประชาชนทั่วไปนั้น เราคงทราบกันดีอยูแลววา เการอยละรอยครับ เกาอยางลายครามเรียกพ่ี คนเหลานี้ ยึดโยงอยูกับคติทางนามธรรมที่ไมตองการ การชั่งตวงวัด และมิใชเพราะเขาเชื่อวามาตราวัดนั้นมันไมมีอยูแบบบรรดาพวกหลังสมัยใหม หากแตเพราะ พวกเขาเชื่อวา ภูมิปญญาดั้งเดิมที่มีมาคือความจริงแท อาทิ การทํานายฝน, การหามกินของแสลง ฯลฯ ในขณะที่อภิชนทั้งหลาย

อาศัยขีดความสามารถที่สูงกวา เขาสูใจกลางของทรัพยากร, อํานาจรัฐ และท่ีสําคัญที่สุด คือเรื่องของวิทยาการความรู เชนนี้เอง อภิชนเหลานี้จึงมี “อภิสิทธิ์” ที่จะผูกขาดการตีความความ “โง” ของประชาชนทั้งหลาย และกีดดันเขาออกไปจากวงอํานาจที่อภิชนท้ังหลายจับจองอยู

แตที่เหนือชั้นอยางถึงที่สุด คงจะหนีไมพนบรรดา โครงขายของเอกอัครปญญาชนสาธารณะของไทย (โดยละที่จะไมกาวลวงไปถึงสถาบันพระมหากษัตริย) บรรดาขาราชบริพาร และ กลุมนักวิทยาการ ซึ่งยึดโยงอยูกับเขตชั้นทางสังคมสูงสุดนี้อยางสําคัญ กลาวคือ คนในขายเขตอํานาจระดับบนสุดเหลานี้ “มองขาด” ในเรื่องของ “หลมสมัยเกา” และ “หลมสมัยใหม” ซึ่งคนไทยชั้นกลาง และ ลางตกอยูอยางเหนียวแนน และ ใชประโยชนจากสถานการณดังกลาวได อยางคุมคายิ่ง กลุมคนเหลานี้ เชน หมอประเวศ วะสี, สุเมธ ตันติเวชกุล ฯลฯ จึงมีรากฐานที่มั่นคงดุจผืนผาในสังคมไทย เพราะ เขาเหลานี้เขาใจทั้งศาสตรสมัยใหมซึ่งไดใจชาวชั้น อภิชนทั้งหลาย และ ทําใหคนทั่วไปรูสึกวา “อิน” กับเรื่องสมัยเกาไดอยางคงเสนคงวา ผานการอางคําบาลี, พุทธศาสนสุภาษิต เชน การยกเอาวิถีชุมชนดั้งเดิม คนดีศรีอยุธยา มาปลุกเปาใหมีชีวิตอยางสมจริงไดอีกครั้ง เปนตน

แตการจะตัดสินเสียตรงนี้วา บรรดาคนเยี่ยงหมอประเวศ คือ คนพันธุหลังสมัยใหม ก็ไมอาจกลาวไดเต็มปากกระดากคํา เพราะ บรรดาเขาๆ ที่เราเห็นอยูวา ชวงใชความเปนสมัยเกาและใหมไดอยาง ช่ําชอง เสมือนมองความเปนสมัยเกา และ ใหมเปนเพียง “เครื่องมือ” ในการสรางนิยามบางอยาง หรือ ที่ศัพทแสงแบบเดิ้ลหนอยเขาจะเรียกวา วาทกรรม (Discourse) ก็ตาม ในทรรศนะของผมแลว คนเหลานี้เพียงแค เกือบหลังสมัยใหม (Near postmodern), กอนหลังสมัยใหม (Pre-postmodern) เทานั้น เพราะบุคคล หรือ กลุมคนเหลานี้ ไมไดทวงถาม ถกรื้อ วาทกรรมที่เขาเขาใจและใชมันไดอยางคลองมือเหลานี้เลย เขาเพียงแค “ใชมันทั้งคู” (ทั้งสมัยเกาและใหม) อยางที่บอกน่ันหละ ดังนั้น เขาจึงไมใชหลังสมัยใหม แมเห็นถึงจุดออนของสมัยเกาและใหมก็ตาม

และหากเรามองลึกลงไปจริงๆ ก็จะพบวา สังคมเชนวานี้ เปนรูปชั้นทางสังคมที่มีมาเนิ่นนานยอนไปไดถึง อยุธยาเสียดวยซ้ํา (ในอยุธยาเรามีศูนยกลางอํานาจซึ่งเขาถึงวิทยาการใหมๆ และทรงไวซึ่งวัฒนธรรมประเพณีอันดีงาม ซึ่งทั้งสองสิ่งขางตนถูกใชกํากับสังคมไดเปนอยางดี ในขณะที่เจาขุนคุณพระยาทั้งหลายตางสนใจเพียงวิทยาการ และ ประชาชนซึ่งเปนไพรฟาขาแผนดินก็ศิโรราบตอคติทางวัฒนธรรม) เราจึงอาจกลาวไดวา แมคนไทยจะมีคนสมัยใหม-เกา-และ (เกือบ) หลังสมัยใหม อยูรวมกันอยางเปนระบบ ซึ่งสรางดุลยสัมพันธและตอรองกันอยูในทีตลอดเวลาก็ตาม แตรูปชั้นทางสังคมที่แสดงถึงความสัมพันธระหวางกลุมคนสมัยใหม-เกา-และหลังสมัยใหม ที่วามานี้ กลับเกาเสียย่ิงกวาเกา, ในนัยนี้ สังคมไทยจึงนาจะจัดไดวาเปนสังคมแบบ “สมัยเกา” อยางจะแจงทีเดียว โดยสรุป ประเทศไทย จึงควรถูกนิยามวาเปนประเทศที่ “สังคมเกา แตคนคละเคลาเกา, ใหม และ ใหมกวา” นั่นเอง

DemoCrazy Become a Fan

Facebook facebook.com/demo-crazy

http://www.demo-crazy.com

“ประเทศไทย จึงควรถูกนิยามวาเปนประเทศที่ สังคมเกา แตคนคละเคลาเกา ใหม และ ใหมกวา”

Page 14: DemoCrazy • Volume 18

.14. DemoCrazy

Volume 18 | May 2010

บท (ความ) โดย กา

“สีอะไร?”

ผมเช่ือวา หัวขอในฉบับนี้ คงเปนประโยคที่พวกเราไดยิน ไดใช กันบอยในปจจุบัน กอนที่จะคุยเรื่องการบานการเมืองกับใครสักคน

หากเราจะตอบคําถามนี้แบบกลางๆ บวกดวยอ็อพชั่นอยากรูอยากเห็นเพ่ิมเขาไปอีกหนอย ก็มีความเปนไปไดสูงที่เราจะถามกลับไปวา

“ทําไมตองมีสีดวยวะ?” “อาว สีจะบอกวามึงเปนใครไง” “หะ โทษที ขอตัวชวยดวย” “ก็เหมือนกับที่งานของมึงเปนตัวบอกวามึงคือใคร แตตอนน้ี

เปล่ียนเปนสีแทน” “ออ สีบอกวรรณะ” “ไมใชวรรณะ แตเปนระดับสมองวะ” “อาว นี่มึงดูถูกพวกสี**นะเนี่ย” “กูยังไมไดพูดเลย มึงสิดูถูก” “เฮย ไมใช ไมถึงขนาดนั้น ของอยางนี้มันไมไดวัดกันที่สังกัด

แตเปนรายบุคคล” “นั่นแหละ ตองใหทําเปนขอสอบอัตนัย คําถามคือ สีอะไร?

จงอธิบายเหตุผล พรอมยกตัวอยาง...” “โห นี่มึงลอกขอสอบตอนเรียนมานี่หวา . . .อยา ลืมให

เปรียบเทียบดวย 5555” “เสร็จแลวเราก็จะไดรูวาใครเปนยังไง ใครสอบตก ไลกลับ

บานใหหมด” “ขอแรกเลย ใครจะมาทําขอสอบมึง เอาเวลาไปขายไอติมที่

ม็อบดีกวา ขาววาขายดีโคตร” “พลิกวิกฤตใหเปนโอกาส” “กูอยากมีโอกาสโดยไมตองเจอวิกฤตไดไหมวะ” “ทาจะยาก ไปถามมารคดู” “อืม กูไมเขาใจจริงๆ วานี่มันเกิดอะไรขึ้น ทําไมบูรพาพยัคฆ

ของกูถึงไดกลายเปนงอยขนาดนั้น ถูกทํารายทั้งกายใจและศักดิ์ศรี” “ทหารแตงโม” “คงอยางงั้นใชมั้ยวะ มันไมมีทฤษฎีอ่ืนแลวนี่ เลนจริงเจ็บจริง

คลุกวงในกันจริงขนาดนี้ ฟดกันเองแหง ชั้นผูนอยซวยโคตร” “ก็ง้ีแหละ ชั้นลางสุดของหวงโซอาหาร...พลเรือนและพล

ทหาร” “เดี๋ยวนี้นายพลก็ไมเวนแลว one standard” “เมื่อไหรมันจะจบสักทีวะ” “มึงวามันจะจบยังไง” “ไมรูวะ แตนาจะเร็วๆ นี้”

“เจรจาหรือเลือด หรือทั้งคู” “วัดใจนาย” “วัดความดันดวย” “เหอะๆ” “มึงวาจริงรึเปลาวะ” “ที่ใดมีควันที่นั่นยอมมีไฟ” “กูขอภาวนา” “สวดชวยเขาเหรอ” “ไมตองถึงมือกูหรอก คน ‘ชวย’ เขาเพียบ กูไปเจอในเว็บนึง

หลายคนแผเมตตาใหแลวดวยนะเวย” “ยังเร็วเกินไป ศึกยังไมจบอยาเพ่ิงนับศพทหาร” “นับศพประชาชนแทนไปกอน” “เฮอ เก็บตังคแลวไปพเนจรเมืองนอกดีกวาวะ สัก 10 ปคอย

แวะกลับมาเยี่ยมบาน” “หวังวาตอนนั้นคงไมโดนปดสนามบิน” “กูนั่งเรือมาก็ได” “ระวังเจอซึนามิ” “รถไฟก็ไดเอา” “ตกราง ไมถึงบานแหง” “ง้ันกูเดินเอาก็ได ขามชายแดนจากประเทศเพื่อนบาน” “ระวังเหอะมึง เกิดกลายเปนรัฐไทยใหมขึ้นมา พาสปอรตเกา

มึงใชไมได ไมมีประเทศสังกัด” “UN รับรองเปลา รัฐไทยใหม ไมรับรองก็กลายเปนพ่ีนองกับ

ไตหวัน” “เรามีลาวเปนพ่ีนอง พอแลว” “แตบางคนดูจะยังไมพอ” “ใหเขาไปหาพี่นองแถบมอนเตเนโกรสิ” “ไปที่(เขา)ชอบ” “สา...ธุ”

“แลวตกลงเราอยูสีอะไรกันดี ไมแดง ไมเหลือง ไมชมพู” “หลากสีล็อกไวหมดแลววะที่เหลือ” “ง้ันสีเทาละกัน อึมครึมดี” “อืม ก็เหมาะสม เหมือนอยูในหมอกควัน มองไมเห็นอะไร” “ไมใชวาไมมองนะ แตถูกทําใหมองไมเห็นตนเพลิง” “อยางนี้แหละ Hidden Agenda ลับ ลวง พราง ภาค 2” “กําหนดออกเมื่อเรื่องจบ อยางนี้ทุกที” “แลวที่ออกมาก็ใชวาจะเปนความจริงทั้งหมดดวยนะ อยางนี้

ทุกที นี่แหละควายเผือกของแท” “5555”

…ครับ ฉบับนี้ผมคงตองขอลากันหวนๆ เพียงเทานี้ รักษาเนื้อรักษาตัวกันใหดี จนกวาจะเจอกันฉบับหนานะครับ

Page 15: DemoCrazy • Volume 18

.1.

เรื่องเลาในคืนนองเลือด

DemoCrazy SPECIAL PUBLICATIONS

วรภัทร วีรพัฒนคปุต

วันเสารที่ 10 เมษายน 2553 อนุสาวรียประชาธิปไตยถกูนําไปสรางเปน

ผมคือหนึ่งในคนที่ปวารณาตัวเขามาเปน สันติอาสาสักขีพยาน ตั้งแตวันแรกที่ เครือขายสันติวิธีประกาศจัดตั้ง Peace Room แตเนื่องดวยความผิดพลาดบางอยาง ทําใหผมยังไมไดเขารับการฝกอบรม เปนเรื่องเปนราว แตผมอาศัยประสบการณ จากการเคยรวมปฏิบตัิการภาคสนามเมื่อป 2551 ตั้งแตตอนชวงที่พวกเรายังใชสีขาวเปนสัญลักษณของสันติวิธี ทามกลางบรรยากาศความรอนแรงทางการเมืองจากการชุมนุมของ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย บายวันนั้น หลังจากทราบวามีการสลายการชุมนุมเกิดขึ้น ผมตัดสินใจเขาไปสังเกตการณเหตุการณในพ้ืนที่ ตอนแรกผมเลือกไปที่ราชประสงค เพราะคิดวานาจะเปนที่ที่ผมเขาไปไดรวดเร็วที่สุดแลว เนื่องจากผมนั่งรถใตดินไปโผลที่สวนลุมพินีได ระหวางที่นั่งไปนองสาวของผม 2 คน (มี 3 คน คนนึงอยูตางประเทศ ทั้งหมดไมใชนองแทๆ แตก็ย่ิงกวานองแทๆ) รูไดโดยเซนสวาผมจะตองเขาไปที่ชุมนุมแนๆ เลยโทรศัพทมาสอบถามและ SMS แสดงความหวงใยมา

น อ งผมอ า จ จ ะ เ ป น เ ด็ กที่ ทํ า กิ จ ก ร รมนั ก ศึ กษ า ใน

มหาวิทยาลัย ออกคายอาสาตางๆ แตไมใชคนที่ชอบอะไรๆ กับเรื่องการเมืองสักเทาไหร และปกติไมคอยจะอะไรๆ กับเรื่องของผมมาก แตเหมือนครั้งนี้นองผมจะรูสึกไดวา ครั้งนี้จะตองมีอะไรสักอยางที่รุนแรงกวาทุกครั้งที่ผานมา

แมแตเพ่ือนผมเองท่ีโทรมาหาผมตอนบายเพ่ือชวนไปเดินหาง ผมถามมันไปวา “มึงไมรูใชไหมน่ีตอนน้ีขางนอกเปนยังไงกัน” แลวผมเอาโทรศัพทใหมันฟงขาวทีวี (ตอนกอนออกจากบาน) เพ่ือนผมที่ปกติตอมความตื่นตัว รูรอนรูหนาวกับเรื่องการเมืองมีปญหา แตครั้งนี้มันยังพูดวา “คืนนี้มียกที่สองแนๆ”

ผมไปถึงที่สวนลุมพินี แลวก็เดินตะลอนๆ ไปเรื่อยๆ ผมเห็นชายคนหนึ่งที่นั่งอยูริมฟุตบาท ถือไม ส้ันที่ เหลาใหแหลมพอจะกระซวกไสคนได แลวพอบนเวทีใหญประกาศแถลงเรื่องอาวุธสงครามที่ยึดมาได ผมเลยนั่งมอไซดไปหนาเวทีใหญที่ราชประสงค แตไปไมทันที่เขาแถลงเรื่องอาวุธบนเวที

Page 16: DemoCrazy • Volume 18

.2.

บรรณาธิการ แสงธรรม ชุนชฎาธาร • บรรณาธิการฉบับพิเศษ กิตตินันท นาคทอง • ผูเขียน วรภัทร วีรภัทรคุปต • จัดพิมพโดย กองบรรณาธกิารเดโมเครซี่ สํานักงานเลขที่ 90/43 หมูบานอยูเจริญ ซอยทรงสะอาด ถนนวิภาวดีรังสิต แขวงจอมพล เขตจตุจักร กทม. 10900 โทรศัพท 0-2277-6413 โทรสาร 02-691-4609 E-mail : [email protected] • http://www.demo-crazy.com • ฉบับพิเศษ อภินันทนาการสําหรับวารสารเดโมเครซี่ ฉบับที่ 18 ประจําเดือนพฤษภาคม 2553

ผมไปถึงเวทีราชประสงค หลังจากรับขาวเหนียวหมูทอดที่แจกหลังเวทีมารองกระเพาะแลว ผมเดินไปหนาเวทีใหญ อริสมันต พงศเรืองรอง หรือพ่ีกี้ร นักรองที่ผมเคยปลื้มมากตอนสมัยยังเด็กๆ กําลังปราศรัยบนเวที มีใจความตอนหนึ่งพูดวา “....ตอไปนี้ถาพ่ีนองเจอนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ที่ไหน ใหจับตัวมาไดทันที...”

สักพัก ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ (ปกติจะเรียก “พ่ีเตน”) ขึ้นมาปราศรัยบนเวทีตอ พ่ีเตนประกาศบนเวทีวาขางบนตึกสูงๆ ที่ไมแนใจวาชื่อตึกอะไร เปนตึกที่อยูหลังอาคารหางเซ็นทรัลเวิลด ขางบนมีหนวยซุมยิงหรือที่เรียกวาสไนเปอรอยู มวลชนขางลางเริ่มโห พรอมชูตีนตบ หัวใจตบขึ้นมา ตะโกนเรียกใหเจาหนาที่ที่ถูกทําใหเขาใจวาเปนหนวยสไนเปอรลงมาจากตึก

หลังจากนั้นพ่ีเตนก็ไดใหที่หนาเวทีสาธิตการจุดโคมลอย โดยบอกวาถาหากมีเฮลิคอปเตอรบินมา ใหจุดโคมลอยเพื่อสรางทัศนียภาพที่สวยงามใหคนที่อยูบนเฮลิคอปเตอรไดดู (ความหมายจริงๆ ก็คือใชโคมลอยเพื่อกอกวนการบินนั่นเอง)

หลังจากเห็นวาโดยรวมยังไมมีอะไรนาหวง ผมจึงหลบไปพักอยูบริเวณอาคารหลังหนึ่งภายในโรงพยาบาลตํารวจ เพ่ือหาที่เสียบชารตแบตโทรศัพทและกลองถายรูปเพ่ือพรอมสําหรับคืนนี้ พรอมสงSMS ถามนองสาว 2 คนวากลับถึงบานกันเรียบรอยหรือยัง? คนนึงโทรตอบกลับมาวาถึงแลว แตอีกคนยังไมตอบกลับมา

ตอนกอนเดินเขาไปในโรงพยาบาล ผมผานหลังเวที พยายามสังเกตพวกการดชุดดํา โดยรวมมองไมเห็นอาวุธ แตมีคนหนึ่งที่ผมสังเกตเห็นมีส่ิงของลักษณะคลายปลายมีดสปาตาอยูในฝกโผลออกมาจากชายเสื้อยูนิฟอรม

จนพอสักทุมกวาๆ ขางนอกมีเสียงเฮ พรอมส่ันตีนตบ หัวใจตบดังสนั่นรัวยาวนานกวาปกติ ผมจึงออกไปดูวาเกิดอะไรขึ้น ตอนนั้นแกนนําทั้งหมดขึ้นไปบนเวท ีวีระ มุสิกพงศ อานแถลงการณยกระดับขอเรียกรองใหนายกฯ ยุบสภาและออกไปจากประเทศไทยทันที

ผมคิดวายังไมมีอะไร แลวเกิดเปร้ียวปากอยากกินขาวไขเจียว เลยไปส่ังขาวไขเจียวกิน ปรากฏวาพ่ีเตนประกาศวามีเรื่องดวนคือ มีการโปรยแกสน้ําตาลงมาจากเฮลิคอปเตอร ที่บริเวณเวทีผานฟา

ผมรีบถือกลองขาวไขเจียววิ่งกลับเขาไปที่โรงพยาบาลตํารวจทันทีเพ่ือไปเก็บขาวของที่วางทิ้งไว ดวยความรีบจึงวิ่งชนคนจนไขเจียวหลน เซ็งเปดมากครับ แตไมมีเวลาแลว เลยตองยอมตัดใจแมจะเปรี้ยวปากขนาดไหนก็ตาม

ผมรีบว่ิงออกมา แลวกระโดดขึ้นทายรถกระบะของผูชุมนุม บนกระบะรถอัดกันแนนมาก ระหวางอยูบนรถผมเอายาสีฟนใกลชิดที ่

Page 17: DemoCrazy • Volume 18

.3.

ซื้อมาจากในเซเวนขึ้นมาปายตาเพื่อปองกันแกสน้ําตา แลวก็แจกคนอ่ืนๆ บนรถ ระหวางรถวิ่งไปใกลถึงเวทีผานฟา ผมเพิ่งสังเกตเห็นวาที่ผมไดยินเสียงของพี่เตนพูดออกลําโพงตลอด คือรถคันที่ผมเกาะมา ขับนําหนารถแกนนําอยู เมื่อไปถึงที่เวทีผานฟา พ่ีเตนประกาศขอเวลาแกนนําหารือทาที แลวประกาศวาใหรถโมบายลยูนิตที่ใชถายทอดสดของพีเพิล แชนแนล ไปถายทอดสดสถานการณที่สะพานมัฆวานรังสรรคดวย ผมเลยกระโดดขึ้นมอเตอรไซตผูรวมชุมนุมคนหนึ่งเพ่ือไปที่นั่น แตการจราจรติดขัด สักพักบนเวทีของระดมพลใหไปที่ส่ีแยกคอกวัว ผมเลยกระโดดลงจากมอเตอรไซต ยกมือไหวขอบคุณพ่ีเขา แลวกระโดดขึ้นเกาะรถสิบลอของแกนนํา แตทายรถแนนมาก ผมเห็นวายืนเกาะอยูนอกตัวกระบะไปเรื่อยๆ คงไมเวิรก เพราะผมน้ําหนักตัวมากพอสมควร เลยตัดสินใจลงไปเดินดีกวา

ผมก็เดินไปจนถึงอนุสาวรียประชาธิปไตย รถแกนนําที่ผมเดินตามมา เขาใจวานาจะเปนพ่ีเตน (ตอนนั้นกําลังมึนๆ) มาหยุดตรงแถวๆ หนาทางเขาถนนดินสอ ผมเริ่มรูสึกไดถึงกล่ินไอ รสชาติ และความแสบตาที่คุนเคยของแกสน้ําตา ที่ผมเคยสัมผัสมันมาเมื่อ 2 ปที่แลว พ้ืนบริเวณนั้นเปยกไปหมด จากการใชน้ํามาสาดบรรเทาพิษจากแกสน้ําตา

ตอนน้ันพวกที่อยูขางหนากําลังกระโดดขึ้นรถถังที่ผูชุมนุมยึดไวไดประมาณ 4-5 คัน รถเครื่องเสียงแกนนําเปดเพลงใหผูชุมนุมไดโยกกันอยางสนุกสนาน

สักพักหนึ่งผมไดยินเสียงดัง “แปะๆๆๆๆ” เหมือนเสียงประทัด แทรกเขามา จนพอปดเสียงเพลงแลว ผมถึงไดเร่ิมรูวามันคงไมใชประทัดตรุษจีนแลว ทุกคนเริ่มกมลงหมอบ ผมวิ่งหลบไปตรงฐานอนุสาวรียแลวหมอบตามคนอื่นๆ ขณะเดียวกันฝูงชนหนาปากทางถนนดินสอก็ไดขวางปาสิ่งของตอบโตเสียงดังกลาว

คราวนี้แนชัดแลววามันไมใชประทัดยักษที่เอาไวกอกวนกันดวย แตมันคือเสียงปนกล และมีเสียงดังตูมดังปนมาพรอมกลุมควัน เขาใจวาคงเปนแกสน้ําตา ผมเร่ิมว่ิงไปซายทีขวาที ว่ิงไปหมอบไปเปนระยะๆ ในมือก็ถือกลองถายรูปไวดวย

สักพักหนึ่ง ผมเห็นบนอาคารเรียนหลังหนึ่งในโรงเรียนสตรีวิทยา มีแสงเลเซอรปรากฏขึ้น ผมไมแนใจวาแสงเลเซอรนี้ฉายลงจากตึก หรือวาฉายขึ้นไปบนตึกกันแน แตผมเขาใจวานาจะฉายขึ้นไปบนตึกมากกวา แตก็ดูไมออกอีกวาฉายมาจากตรงไหน และไมรูวาคืออะไร เลยตัดสินใจวิ่งหลบออกมา

ผมเริ่มเปนหวงนองสาวผมอีกคนที่ยังไมโทรกลับหาผมวาถึงบานแลวหรือวาอยูที่ไหน ผมเลยเอามืออีกขางที่ยังวางอยูโทรหานองผม แตโทรไมติดเลยฝากขอความไว

ตอมาเสียงระเบิดตูมใหญดังขึ้น ผมรูสึกไดถึงแรงสะเทือน และเสียงที่นากลัวมาก นากลัวกวาเสียงระเบิดแกสน้ําตาเมื่อตอน 7

ตุลาที่เคยทําใหผมกลายเปนคนจิตหลอน กลัวทุกครั้งที่ไดยินเสียงดังไปชวงหน่ึง แตเที่ยวนี้ผมไมรูวาอะไรระเบิด นองสาวผมโทรกลับมาดวยความตกใจ พรอมๆ กับที่ผมเห็นผูไดรับบาดเจ็บคนแรกถูกหามออกมา ผมเลยว่ิงเขาไปเพ่ือที่จะดูและลองพยายามถายรูปดู แตกลองผมมีปญหาระบบซูมคาง ซูมเขา ออกไมได ถายไมไดแลว ปดกลองเลนสก็ไมยอมหุบกลับ ตอนนั้นผมล่ืมลมลงเพราะพื้นเปยก ศอกเปนแผลเล็กนอย เจ็บกระดูกนิดหนอย มืออีกขางก็ยังถือโทรศัพทคุยกับนองสาวที่พยายามขอใหผมกลับบาน นองผมบอกวาตอนแรกเห็นผมโทรมานึกวาจะใหเขาไปชวย ผมตอบกลับทันทีวา “ไมตองเลย พ่ีโทรมาเพื่อความแนใจวาหนูกลับถึงบานหรือยัง หรือวาไปติดคางที่จุดไหน จะไดไปรับ”

ผมคอยๆ ขยับว่ิงจากฝงดานที่ไปสนามหลวง วนออมตรงอนุสาวรียแลวเดินกลับไปตรงถนนดินสอ พยายามเขาไปใหถึงขางหนาที่ปะทะกันอยูมากขึ้น ระหวางนั้นผมยังคุยโทรศัพทกับนองสาวอยู ผมดึงผาปดปากลง ผมเริ่มรูสึกแสบตาหนักขึ้น และเริ่มแสบคอ หายใจไมสะดวกจากฤทธิ์ของแกสน้ําตา ที่ไมแนใจวาเกิดจากการยิ่งเมื่อสักครู หรือแกสนํ้าตาที่ยังตกคางจากการโปรยเมื่อตอนหัวค่ํากันแน ผมจึงหยิบยาสีฟนมาปายตรงรอบดวงตาและตรงจมูกใหเขมขึ้น

เนื่องดวยผมเองก็สายตาไมดี เวลากลางคืนผมยิ่งมีปญหาในการมองเห็น ผมเลยไมแนใจวาตรงจุดไหนที่ผมพอเขาไปหลบไดบาง ผมจึงวิ่งไปหารถถังคันที่จอดปดปากทางเขาถนนดินสออยู หวังจะดูภาพทางฝงทหารชัดๆ แตเสียงปนดังมาอีกชุด ผมจึงรีบกระโจนหลบไปหมอบหลังรถถัง ผมเริ่มรูสึกหูอ้ือเพราะเสียงปน จึงหยิบโฟมอุดหูขึ้นมาอุดหูไว

ผมวิ่งออกมาจากรถถังเพ่ือไปดูตรงดานหนาปากทางเขาถนนดินสอ เสียงปนอีกชุดดังขึ้น ผมจึงฉากหลบไปตรงดานขางที่มีรานแมคโดนัลด ผมเริ่มรูสึกวาขางหนาไปอีกคงไมใชที่ที่ผมจะเดินขึ้นไปไดแลว และกลองถายรูปผมก็เสียไปแลว ทําอะไรไมไดแลว เลยหลบอยูหนารานแมคฯ

เมื่อเสียงปนสงบแลว ผมเห็นมีคนถูกหามออกมา พรอมกับฝูงชนที่ ว่ิงกรูเขาไปหาจํานวนมาก ทั้งเสียงตะโกนวา “อยาทําเขาๆๆๆ” พระก็ตะโกนวา “อยาทําเขานะโยม” ดังขึ้นพรอมกับเสียงที่ตะโกนวา “ไปชวยมันทําไม เมื่อกี้มันจะฆาพวกเรา” ผมรูไดโดยเซนสวาคนที่กําลังโดนหามอยูตองเปนทหารแนๆ ผมเลยรีบเขาไปชวยกันฝูงชนสวนที่กําลังเคียดแคนทหาร บรรยากาศชุลมุนมาก ทั้งคนที่เขามาชวยหามฝูงชน กับฝูงชนที่จะเขามาทํารายทหารปนกันมั่วไปหมด บางคนถือไมจะมาตี บางคนขวางปาสิ่งของใส ผมตองเขาไปหามคนที่อารมณเดือดดวยการกระโดดล็อคคอ ล็อคแขน บางคนผมเขาไปขวางตรงหนา ยกมือไหวและเขาไปโอบเขาพรอมพูดวา “อยาทําเขาเลยพ่ี เขาก็ประชาชนเหมือนเรา” บางคนก็สงบลงได บางคนก็หันมาดาสวนผมวา “ไปสงสารมันทําไม มันฆาพวกเรา” บางคนก็ทําทาเหมือนจะตอยผมแทนดวย ผมก็พยายามเอาน้ําเย็นลูบเขา

Page 18: DemoCrazy • Volume 18

.4.

หลังจากนั้นผมจึงคุยโทรศัพทกับรุนพ่ีคนหนึ่ง ระหวางเดินคุยเพ่ือฟงรายงานจากขาวทีวี มีผูชุมนุมคนนึงเดินเขามาเกาะแขนผม และบอกผมวาใหผมหลบออกจากตรงที่ยืนอยู ตรงนั้นมีระเบิด ผมตกใจรีบหลบออกมา รุนพ่ีที่ผมคุยโทรศัพทอยูจึงบอกใหผมรีบกลับบาน เพราะมีขาวลือเรื่องการวินาศกรรม

แตเมื่อผมเห็นมีเหตุการณฝูงชนลุกฮือคลายๆ กับเมื่อสักครู ผมก็รูไดวาคราวนี้เปนทหารโดนหามมาอีกแนๆ ผมเลยเขาไปชวยหามปรามฝูงชนแบบเดิมอีกรอบ แตคราวนี้คนที่โดนหามออกมาไมไดถูกสงขึ้นรถพยาบาล แตกลับเดินไปสงที่เวทีใหญ ผมถึงเพ่ิงรูวา นี่คือทหารที่ถูกควบคุมตัวมาสอบสวนหลังเวที แตผมก็ไมรูจะทําอยางไรดี เลยตองทําใจ และเดินกลับไปท่ีอนุสาวรียประชาธิปไตยอีกรอบ เดินสวนกับขบวนที่ถืออาวุธสงครามที่อางวายึดไดจากฝายทหารไปที่เวทีใหญ

ระหวางทาง ผมหิวและยังเปรี้ยวปากอยากกินขาวไขเจียวอยู เลยเดินไปส่ังไขเจียวชะอมใสเนื้อไก ระหวางรอขาวไขเจียว ผูชุมนุมที่จับกลุมกันประมาณ 5 คนตรงรถเข็นขายโอเลี้ยงที่อยูใกลๆกัน กําลังพูดคุยกันถึงบรรยากาศการปะทะกันเมื่อสักครูอยางดุเด็ดเผ็ดรอน

หลังไดขาวไขเจียวที่ส่ังแลว ผมเดินไปกินไปดวยความหิว เห็นผูคนยังมุงตรงแถวๆ รถถัง จึงเดินไปดู ระหวางนั้นบนเวทีก็ประกาศรายชื่อทหารที่ถูกจับตัวมาไดพรอมรายการอาวุธที่แตละคนยิงใสผูชุมนุมไปดวย ผมไปถึงตรงรถถัง ผูชุมนุมจํานวนมากกําลังกระโดดขึ้นไปถายรูปบนรถถังบาง บางคนก็เหมือนกําลังถอดชิ้นสวนตางๆ บนรถถัง

ผมหันกลับไปเห็นคนกลุมหนึ่งที่ดูเหมือนกําลังมุงดูรูปจากกลอง บางคนหยิบกลองตัวเองมาถายรูปที่ปรากฏอยูในกลองนั้นไป ผมจึงเดินเขาไปดู โดยที่มือก็กําลังตักขาวไขเจียวกินอยู ภาพท่ีผมเห็นในกลองคือ ภาพเศษสมองกอนโตอยูบนพ้ืนถนน ปกติผมเปนคนกลัวเลือด กลัวภาพอะไรที่เปนแผล เปนเศษซากแบบนี้อยูแลว ผมแทบสําลักขาว แตก็ยังอุตสาหหยิบกลองขึ้นมาขอเก็บภาพ เพราะเห็นวาเลนสกลองที่ตอนแรกปดไมเขา ตอนนี้ปดไดแลว

แตพอถายเสร็จ ก็เกิดปญหาเดิมอีก คือกลองปดไมได... จากนั้นผมจึงตัดสินใจกลับดวยความรูสึกอิดโรย เหนื่อย มึน

เครียด แตคืนนั้นผมก็ยังตองมานั่งรางจดหมายเปดผนึกที่จะเผยแพร

ตออีก จนกระท่ังไดออกมาเปนจดหมายเปดผนึก 29 พลเมืองและองคกรพลเมืองผูหวงใยบานเมือง ที่มีทั้งนักศึกษา นักกิจกรรม นักสิทธิมนุษยชน นักธุรกิจ นักวิชาการ อดีตสมาชิกวุฒิสภา อดีตสมาชิกสภารางรัฐธรรมนูญ อดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแหงชาติ และกลุมองคกรพลเมืองตางๆ พรอมใจกันลงนาม

เหตุการณคืนนั้นไดใหขอคิดที่สําคัญแกผมอยางหนึ่ง ผมไดเห็นความกลาหาญ เสียสละ รอยเลือด คราบน้ําตา น้ําใจของเพื่อนผูมีความคิดทางการเมืองแตกตางจากความเชื่อสวนตัวของผม เห็นถึงพลังศรัทธาอันแรงกลาของมวลชนที่มาดวยใจบริสุทธิ์ ในที่นี้ผมไมมีคําตอบเรื่องความถูกหรือผิด ผมรูสึกไดเพียงวา พวกเขาคือเพ่ือนมนุษยเหมือนผม พวกเขาคือประชาชนที่ใฝหาสังคมที่เปนธรรมเหมือนผม พวกเขาคือผลผลิตของสังคมที่ลมเหลวในการดูแลความอยูดีกินดีอยางทั่วถึงเทาเทียม ลมเหลวในการสรางสังคมที่เปนธรรมและยุติธรรม ทําใหพวกเขาตองออกมาถามหาสิ่งที่สังคมไทยไมมีใหพวกเขา แมจะรูทั้งรูหรือไมรูวามีใครฉวยโอกาสจากศรัทธาบริสุทธิ์ของพวกเขา

ผมไดแตหวังวานี่คงจะเปนครั้งสุดทายที่การเปล่ียนผานสังคมจะตองแลกดวยเลือดเนื้อ และชีวิตเชนนี้ เพราะที่ผมออกมาแบบนี้ ทําใหนองสาวผมอีกคนที่อยูตางประเทศรูสึกไมสบายใจมากๆ เธอขอผมวาไมมีครั้งตอไปไดไหมที่ผมจะไปทําอะไรแบบนี้อีก เธอไมไดอยากใหผมเห็นแกตัว แตเธออยากใหผมนึกถึงความรูสึกของคนขางหลังที่หวงใยผมบาง ปกติผมไมเคยขัดนองสาวผมเลย แตครั้งนี้ผมยอมรับวาผมอ้ําอึ้งที่จะรับปาก แมจะไมอยากใหนองสาวผมตองไมสบายใจแบบนี้อีก ผมเลยไดแตหวังในส่ิงที่ไมคอยเห็นความหวังเชนนี้

ผมหวังวาการสูญเสียครั้งสุดทายนี้จะไมสูญเปลา แตจะตองนําไปสูการที่ทุกคนไดตั้งสติ คิดทบทวน รวมมือกันสรางสังคมใหมที่เปนธรรมดวยความรักและสันติภาพ

ผมไมอยากให เราเริ่มตนประวัติศาสตร ใหมของมนุษยชาติดวยความโหดรายอีกแลว

* เรื่องนี้เขียนจากสิ่งที่ผมคอยๆลําดับความคิดไดจาก

เหตุการณตรงหนา ซึ่งเวลานั้นผมอาจไมคอยมีสติ เทาที่ควร รายละเอียดบางสวนอาจสลับเวลากันบาง แตเนื้อหาส่ิงที่เจอครบถวนทุกรายละเอียดสิ่งที่ไดสัมผัสและรูสึก

Page 19: DemoCrazy • Volume 18

DemoCrazy .19.

Volume 18 | May 2010

มองมุมหมอ ชเนษฎ ศรีสุโข • นักศึกษาแพทยชั้นปที่ 6 โรงพยาบาลราชวิถี

บทความนี้ไดแรงบันดาลใจจากผูใหญใจดีทานหนึ่งเมตตาบอกวาผมเปนพวก Antisocial ครับ

คําๆ นี้ Anti-social แปลตรงตัวภาษาไทย คงหมายถึง พวกตอตานสังคมครับ หลายคนก็เอาคํานี้ไปกลาวหากลุมผูชุมนุมทางการเมืองในชวงเร็วๆนี้เชนกัน ดังนั้น จึงอยากเขียนถึงความหมายของคํานี้ ในทางการแพทยน ะครับ เ พ่ือให เห็นการใชคํ านี้ ในความหมายเชิงวิชาการ ที่คอนขางจะรุนแรงพอสมควรนะครับ

Antisocial เปนเรื่องของบุคลิกภาพครับ ซึ่งถาเปนบุคลิกภาพเดนในดานนี้เราจะใชคําวา Antisocial personality trait แตถาบุคลิกภาพเปลี่ยนแปลงจนผิดปกติเราเรียก Antisocial personality disorder (อยูในกลุมบุคลิกภาพแบบ Cluster B) เปนโรคที่วินิจฉัยในวัยผูใหญครับ

Antisocial หมายถึง ลักษณะคนที่มีการกระทํากระทบหรือละเมิดสิทธิของผูอ่ืน ผิดปกติวิสัยของคนทั่วไป ผิดคานิยม และผิดกฎหมาย มักหักหามใจไมไดและไมรูสึกผิดแตอยางใด

จุดเริ่มตนของบุคลิกภาพเชนนี้ เชื่อกันวาเริ่มมาตั้งแตวัยเด็ก ในกลุมโรค Disruptive behavioral disorders ซึ่งประกอบดวย Oppositional defiant disorder และ Conduct disorder มักเกิดในประชากรกลุมเด็กผูชายที่มีประวัติการถูกทารุณในวัยเด็ก

โดยเชื่อกันวาคนที่เปน Antisocial ในวัยผูใหญ จะเริ่มตนจากการเปน Oppositional disorder ในวัยเด็กเล็ก

เด็กกลุมโรคดังกลาวจะมีลักษณะพฤติกรรมมองวาคนอื่น

เลวรายและเปนศัตรูไปเสียหมด ไมเชื่อฟงผูใหญหรือการสอนสั่งใดใด ชอบเถียงคําไมตกฟาก ควบคุมอารมณตนเองไมได พฤติกรรมรุนแรงในเด็กอาจเริ่มจากการชอบรังแกสัตวตัวเล็กๆ บ้ีแมลง ดึงหางจิ้งจก ฯลฯ ตางเปนๆ เปนระยะเวลา 6 เดือนขึ้นไป

หลังจากเปนกลุมโรคดังกลาวมาพอประมาณแลว พอเปนวัยเด็กโตและวัยรุน ก็จะเปล่ียนเปนกลุมโรค conduct disorder ผูปวยจะมีพฤติกรรมที่ละเมิดสิทธิของคนอื่นๆตลอดเวลา หรือกระทํารุนแรงอยางผิดปกติวิสัยของคนวัยเดียวกัน กระทําซ้ําๆมากกวา 1ป พฤติกรรมรุนแรงที่วาอาจมีต้ังแตการขมขืน การจี้ปลน การฆาสัตวตางๆ หรือพฤติกรรมที่ไมจัดวารุนแรงมาก อาทิเชน การขโมยของ การโกหก การชอบแกลงผูอ่ืน การสรางความรําคาญใหคนอื่นๆ

ถาไลตามระดับอายุ จะไดดังแผนภาพที่แสดงงายๆ 1.เด็ก 2.วัยรุน 3.ผูใหญ

ดังนั้น พอเปนผูใหญ จึงเปน Antisocial personality disorder ซึ่งพฤติกรรมความรุนแรงก็จะมากขึ้น คนเปนโรคนี้จํานวนมากเกี่ยวพันกับการกระทําผิดกฎหมาย จึงไดรับขอหาและไปอยูในสถานกักกัน ในตางประเทศก็มีการวิจัยในสถานกักกันตางๆ พบวามีอาชญากรเปนกลุมโรคนี้คอนขางมากครับ

การรักษาใชการบําบัดพฤติกรรมในระดับบุคคล ครอบครัว และจิตบําบัดครับ

จึงขอจบบทความไวเทานี้ หวังวาจะเปนประโยชนแกสาธารณชนและผูใหญใจดีไมมากก็นอยครับ หากผิดพลาดประการใด รบกวนสงคําแนะนํา-ติชมไดที่ [email protected] ครับ

Page 20: DemoCrazy • Volume 18

.20. DemoCrazy

Volume 18 | May 2010

บทความพิเศษ วรภัทร วีรพัฒนคุปต

เมื่อม็อบไพร เปนแคหมาก ในกระดาน

ของจริงคือ “ขบวนการกอการรายขามชาติ”

22 เมษายน 2553 23.41 น.

อันที่จริงคืนนี้ผมอยากเขานอนเร็วๆ เพราะพรุงนี้ตองตื่นเชา แตมีส่ิงที่ทําใหผมรูสึกไมสบายใจอยางจริงจัง กับส่ิงที่คลอยหลังผมมาแคนิดเดียว ผมเพิ่งเสร็จจากการบันทึกเทปรายการคม ชัด ลึก ที่เนชั่นชาแนล ตอนกลับนั่งรถรุนพ่ีกลับมาผานตรงสีลม (ขึ้นสะพานขามแยก) แตผมบังเอิญอยากกินเมนูโปรดที่มาบุญครอง และตองการรีบกลับบานเนื่องจากวันรุงขึ้นตองตื่นเชา ปรากฏวาระหวางผมเปด Facebook ไปคอมเมนทล้ิงคบันทึกขอความที่นองสาวผมคนที่ตอนน้ีอยูตางประเทศแทกมาให รุนนองผมที่จบจากโรงเรียนเดียวกันที่ เปนเพ่ือนคณะเดียวกันกับนองสาวผมมาคอมเมนทตอจากผมวามีระเบิดลงที่สีลม ผมจึงรีบเช็คขาว ปรากฏวา มีระเบิดจริงอยางที่วา เปนการยิงระเบิด M79 มาจากฝงคนเสื้อแดงใสกลุมผูชุมนุมชาวสีลมที่ออกมาแสดงพลังปกปองถนนสีลม ไมใหคนเสื้อแดงบุกเขามายึด ซึ่งการเผชิญหนาอยางตึงเครียดระหวางประชาชน 2 ฝาย ณ จุดนี้ไดดําเนินมารวมสองสามวันแลว ผลจากเหตุการณครั้งนั้น ทําใหมีผูเสียชีวิต 3 ราย และบาดเจ็บอีกรวม 75 ราย หลายรายสอแววพิการ หลายคนที่ไดรับทราบขาวนี้ตางรูสึกหวั่นใจวา นี่คือเคาลางวา “สงครามกลางเมือง”กําลังจะเริ่มแลว!!! และกอนที่ผมจะลงมือเขียนบทความนี้ นองสาวของผมอีก2คนโทรมาหาผม ดวยความเปนหวงกลัววาผมจะเขาไปอยูในพ้ืนที่เกิดเหตุอีกเหมือนอยางเมื่อคืนนองเลือด 10 เมษายนที่ผานมาอีก นองผมตกใจที่ผมไมรับโทรศัพท แตความจริงคือตอนนั้นผมกําลังไปยิงระเบิดที่หนักในลําไลใหญของผมอยู (ต่ึง!!!) เมื่อนองผมรูวาผมปลอดภัยดีเพราะเหตุแหงความหิว แนนอนวาพวกเธอยอมตองโลงใจขึ้นเยอะที่ผมยังปลอดภัยดี รางกายครบ 32 ในขณะที่ผมตอบนองผมทางโทรศัพทวา ผมไมอยากจะคิดวาเปนความโชคดีของผม มันอาจเปนความโชคดีของผม แตมันคือความโชคดีที่มาพรอมกับรอยเลือดและคราบน้ําตาของเพื่อนมนุษยดวยกัน ใหคิดแควาเรารอด แตเพ่ือนเราเจ็บ ตาย คงไมใช

เหมือนกับวาครั้งนี้คนทั่วไปในสังคมจํานวนมากกําลังรับรูและรูสึกรวมไดถึงสัญญาณที่นากลัวในวันนี้ไดรวมกัน แมระดับความต่ืนตัวทางการเมืองจะแตกตางกัน วันนี้ส่ิงที่ผมคิดวาผมควรทําความเขาใจกับสังคมก็คือ ส่ิงที่เรากําลังเผชิญหนาอยูจริงๆแลว ไมใชความขัดแยงทางการเมือง แตมันคือขบวนการกอการราย!!!

ผมไมไดพูดเกินความจริง เพราะวันนี้เรื่องราวของการทุจริตคอรัปชั่นระดับมโหฬาร ธุรกิจนอกกฎหมายและการฟอกเงินขามชาติ ขบวนการขยายอํานาจเบ็ดเสร็จทางการเมือง ลมกระดานทุกคนที่อยูฝายตรงขาม ขบวนการติดอาวุธสงครามหนักและแทรกแซงบอนทําลายเอกภาพของฝายความมั่นคง ขบวนการปลุกปนกระแสลมลางสถาบันพระมหากษัตริย ทั้งหมดนี้คือส่ิงเดียวกัน มีแหลงที่มาแหลงเดียวกัน!!! จริงๆ แลว นับแตวันที่ 13 มีนาคมที่เริ่มการชุมนุมใหญบริเวณถนนราชดําเนินเปนตนมา จนกระทั่งถึงชวงของการเขาปดแยกราชประสงคอันเปนแหลงเศรษฐกิจสําคัญของชนแทบทุกระดับชั้นในเมืองหลวง ผมเขามาสังเกตการณความเปนไปขางในตลอด จนรูสึกเชื่อสนิทใจวา ขบวนการเสื้อแดงครั้งนี้มีความอารยะขึ้นอยางมาก จนผมรูสึกอยากจะชวยลางภาพความนากลัวของคนเสื้อแดงที่คนไทยเคยรู สึกเมื่อเมษาเลือดปที่แลวใหม ใหคนเขาใจวานี่คือพ้ืนที่สรางสรรคสําหรับการเรียนรูพลวัตรทางการเมืองภาคประชาชน กระทั่งในคืนนองเลือด 10 เมษายน ทันทีที่ผมไดยินเสียงประกาศบนเวทีราชประสงความีการโปรยแกสน้ําตาจากเฮลิคอปเตอรบริเวณเวทีสะพานผานฟาฯ ผมรีบกระโดดขึ้นรถกระบะไปกับคนเสื้อแดงที่จะไปสมทบที่นั่น จนกระทั่งไดอยูในเหตุการณปะทะกันระหวางทหารกับผูชุมนุม ทามกลางความวุนวายที่ผมยอมรับจริงๆ วาผมเองก็ยังไมรูดวยซ้ําวากระสุนปน ระเบิดที่ผมวิ่งหลบอยูเปนของใครกันแน กระสุนนัดไหนจากใครกันแนที่สามารถปลิดชีวิตผมและคนเสื้อแดงได เหตุการณครั้งนั้นทําใหผมรูสึกรักคนเสื้อแดงอยางจับหัวใจ เพราะผมเห็นเลือด เห็นคราบน้ําตา พลังศรัทธาของคนรากหญาที ่

Page 21: DemoCrazy • Volume 18

DemoCrazy .21.

Volume 18 | May 2010

ใฝหาความเปนธรรมในสังคม ผมรูสึกวาผมเห็นส่ิงเดียวกับที่ผมเห็นในขณะที่รูสึกวาสายตาตัวเองกําลังจะมืดบอดเพราะแกสน้ําตาวันที่7ตุลาคม 2551 ผมเห็นความศรัทธาในการตอสูอยางเสียสละเพื่อสังคมที่เปนธรรม ในคืนนั้นก็เชนเดียวกัน มันผิดกันแคสีเส้ือ เวลาสถานที่และคําพูดบางคําเทานั้น แต ท า ยที่ สุ ด คว ามจ ริ ง วั น นี้ ที่ ผ มต อ งพู ด ก็ คื อ “ผูกอการราย” มีอยูจริง.... วันนี้คนเส้ือแดง ที่เราเขาใจวาเปนผลผลิตของความขัดแยงทางสังคมที่ฝงรากมานาน ซึ่งปะทุขึ้นดวยแรงขัดแยงทางการเมือง ก็กําลังกลายเปนเพียงหมากในกระดานที่ถูกทักษิณฉวยโอกาสเทานั้น แตส่ิงที่ลึกลํ้าซับซอนกวาคือการกอการราย ที่ไดปรากฏรูปขึ้นในวันที่ 10 เมษายน พรอมกับแผนการกอการรายที่ลึกลํ้าชนิดที่ปฏิบัติการหนึ่งครั้งหวังผลไดหลายทาง ทางหนึ่ง ผูกอการรายชุดดํา ฆาประชาชนตายในระหวางที่เหตุการณชุนละมุนจากการยิงกระสุนกระดาษและกระสุนยาง ทําใหเกิดความสับสน จนภาพออกมาใหคนเขาใจวาทหารฆาคนเสื้อแดงไปแบบเต็มๆ ในอีกทาง ไอโมงชุดดําฆาทหารตาย เพ่ือสะทอนภาพความออนแอ ขาดประสิทธิภาพของกองทัพ ลดทอนความเชื่อมั่นของประชาชน นํามาสูความรูสึกเส่ือมศรัทธาตอฝายความมั่นคง นอกจากนี้ยังสามารถใชในการสรางเงื่อนไขใหกับขบวนการเส้ือแดงที่หวังผลไดเปนฝายใชความรุนแรงในขั้นบันไดตอไปของสงครามกอการรายได โดยที่มวลชนที่มวลชนท่ีเชื่อมั่นในแนวทางสันติวิธีก็มีแนวโนมเห็นคลอยตามไปดวย จนสุดทายทําใหการจับอาวุธของคนเสื้อแดงกลายเปนส่ิงที่รูสึกไดวาชอบธรรม นับเปนการวางกลไกที่ลึกลํ้าหลายชั้นจนผมเองยังรูสึกวาตนเองประเมินทุกอยางผิดพลาดมาตลอด แผนขั้นตอไปของทักษิณวันนี้ที่ใชการกดดันรัฐบาลดวยการสรางความเสียหายแกยานธุรกิจสําคัญอยางราชประสงคและตามดวยสีลมจนนํามาสูมิคสัญญีคืนนี้ ส่ิงที่หวังผลคือ ยกระดับความขัดแยงกับฝายรัฐบาลกับผูที่ถูกเรียกวาอํามาตย ใหกลายเปนความขัดแยงระหวางประชาชนกับประชาชน และเปน “สงครามกลางเมือง” เต็มรูปแบบ เพ่ือสรางเงื่อนไขใหรัฐบาลอยูในสภาวะเสมือนไมสามารถควบคุมอะไรในประเทศได การแทรกแซงจนตํารวจและทหารจนดอยประสิทธิภาพชนิดที่วาการบุกจับแกนนําไพรที่นอนโรงแรมหาดาวยังลมเหลวไมเปนทา แผนปฏิบัติการของหนวยอรินทราช (หนวยคอมมานโดตํารวจ) ยังรั่ว

ไปถึงวินมอไซดรับจางแถวทาวนอินทาวนได (Gu จะบาตาย) บางคนอาจมีคําถามวา ทักษิณเปนนักธุรกิจทําไมถึงไมกลัว

ผลกระทบจากการไปสรางความเดือดรอนใหพวกภาคธุรกิจดวยกัน ไมกลัววาจะตองกลับเมืองไทยทามกลางเสียงยี้ของคนชนชั้นเดียวกันหรอกหรือ? (ผมไมมองทักษิณเปนไพร ทักษิณตางหากคืออํามาตยยุคใหมตัวจริงที่บังอาจคิดการกบฏ) คําตอบของคําถามไมใชส่ิงใหมเลย เพราะเราตองไมลืมวา ทักษิณกับ “ขงเบจิ๋ว” (คนตรวจพรูฟไมตองเติม “ง” ใหนะครับ) ก็คืออาชญากรเศรษฐกิจป 2540 ตัวจริง ที่นําประเทศไทยเขาสูเง่ือนไขการขายชาติตามสัญญาทาส การสรางเงื่อนไขใหธุรกิจของคนไทยพังลมจนตองขายใหตางชาติมาเทคโอเวอรในราคาลดกระหน่ําซัมเมอรเซลส 1,000% ถูกเหมือนไดฟรีแถมใหดอกเบี้ยก็เปนส่ิงที่เคยเกิดขึ้นมาแลว (และโปรดสังเกตวาในวันนั้นที่คนไทยพังกันถวนหนา รวมทั้งครอบครัวของผมดวย ทักษิณกลับกลายเปนมหาเศรษฐีที่สวนกระแสขึ้นมารุงเรือง) และโปรแกรมการขายชาติ ก็ไม ใช เรื่ อง เหนือความคาดหมาย เพราะทักษิณพยายามทํามานานแลวตั้งแตสมัยเปนนายกฯ ไมวาจะเปนการแปรรูปรัฐวิสาหกิจดวยเงื่อนไขที่สามานยสุดๆ การพยายามทําเขตการคาเสรีที่ยกอธิปไตยใหทุนขามชาติมีอภิสิทธิ์เหนือคนไทย การผลักดันกฎหมายตางๆ เกี่ยวกับขาวและการเกษตรที่จะบีบใหเกษตรกรไทยตองเขาสูการเปนทาสของระบบพันธสัญญา ทําลายความหลากหลายทางชีวภาพอันเปนทุนสําคัญของชุมชนไทย และการยกผลประโยชนทรัพยากรพลังงานใตทะเลใหเปนของโจรขางบาน รวมทั้งการทําลายความหลากหลายทางชีวภาพลุมน้ําโขงอันเปนมรดกล้ําคาชิ้นสุดทายของคนอีสานพรอมกับขายอธิปไตยของไทยเหนือสันปนน้ําโขงใหเพ่ือนบาน ที่ไดกระทําผาน “นอมินีผูลวงลับ” กับ “นองเขย” โดยมี “ทะแนะตาไมสามัคคี” เปนผูรับมอบอํานาจดําเนินการคนสําคัญ ทั้งหมดนี้คือส่ิงที่คนไทยควรตองรูทันไดแลว และควรตองต่ืนไดแลว ความขัดแยงนี้ลึกลํ้า ซับซอน และรายแรงเกินกวาที่เราจะอยูเฉยๆ ดวยความหวังวามันจะดีขึ้นเองโดยไมตองทําอะไรไดอีกแลว ผมไมไดตองการใหพวกเราเกลียดมวลชนเสื้อแดง เราตองสงสารพวกเขา พยายามดึงพวกเขามาผลักดันสังคมใหมดวยกัน แตกับโจรกอการรายนั้น ถาคนไทยยังรักชาติ รักในหลวงจริง คนไทยตองตื่นไดแลว พลังเงียบตองชวยกัน

สงเสียงไดแลววา “เราคนไทย รักในหลวง หวงแหนแผนดิน”

Page 22: DemoCrazy • Volume 18

.22. DemoCrazy

Volume 18 | May 2010

โลกทัศนแบบวรภัทร วรภัทร วีรพัฒนคุปต • อดีตเลขาธิการสภานักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร

การปฏิรูป การศึกษา ตองทําให

มนษุย เปนมนษุย

ผมเขียนบทความนี้ฆาเวลาระหวางรอนองสาวของผมที่อยูสิงคโปร สงรายงานเรื่องประชาธิปไตยไทยมาใหผมชวยดู ใหความเห็น

ผมเลยมีเวลานั่งตกผลึกความคิดเกี่ยวกับส่ิงที่ผมไดฟง ทานนายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กลาวปาฐกถาเปดงานสมัชชาขับเคล่ือนปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่ 2

ฟงแนวคิดของทานนายกฯ คนนี้แลวก็รูสึกวาเปนแนวคิดที่มีวิสัยทัศนกวางไกล และยังมองไปถึงปญหาในรายละเอียดภาคการปฏิบัติ ซึ่งเปนเหตุใหการปฏิรูปการศึกษารอบแรกยังไมประสบความสําเร็จเทาที่ควร

แตกระนั้น ก็ยังมีส่ิงที่นาผิดหวังอยู เพราะแนวคิดที่พูดมาท้ังหมดเทาที่ฟง ผมยังรูสึกวา ทายที่สุดแลว เรายังแคตองการผลิตคนรุนใหมออกมาเปนแรงงานที่จะตอบสนองการเดินตามกระแสโลกา ภิวัตนโลกเทานั้น ในฐานะที่เราเปนประเทศที่ผูนําทุกยุคทุกสมัยพรอมใจปฏิญาณตนเขาสูการพาสังคมไทยไปสูการเปนโลกานุวัตร นั่นคือเปนประเทศเชลยผูเดินตามกระแสโลกาภิวัฒนที่มีประเทศมหาอํานาจทุนนิยมเปนผูนํา

ผมไมไดอยากจะเห็นการศึกษาไทยทําใหคนทวนกระแสโลกขนาดจะปดประเทศไปเลยอะไรขนาดนั้น ตรงกันขามถาใหผมเสนอไอ เดี ยผมยั งสนับสนุนการมุ ง พัฒนาการผลิ ต บุคลากรด านวิทยาศาสตรตามที่ทานนายกฯ ไดกลาวเสียดวยซ้ํา เพราะผมก็ตองการเห็นประเทศไทยสามารถพัฒนาตัวเองใหยืนหยัดทามกลางกระแสโลกาภิวัตนได ไมใชการวิ่งตามโลก เปนทาสของกระแสหลักของโลกอยางที่เปนอยู การที่เราพัฒนาวิทยาศาสตรเทคโนโลยีดวยตนเองไดจึงนับวาเปนส่ิงจําเปน

แตส่ิงที่สําคัญกวา ที่ผมรูสึกวาทานนายกฯ ยังไมไดใหหลักประกันคือ การทําใหผูเรียนอยางมีความสุข จากส่ิงที่ตนเองสนใจจริงๆ

แมแตการพัฒนาบุคลากรทางดานวิทยาศาสตรเองก็สามารถสรางได ถาหากวารฐับาลไดจัดสภาพสังคมที่เอื้อตอความอยากเรียนรูของเด็กและเยาวชนในเรื่องนั้นๆ ไดดี และใหผูเรียนไดเรียนรูไปกับมันอยางมีความสุข ตามหลักการพัฒนาให “เกง ดี มีสุข”

แตกับสภาพการณที่เปนอยูปจจุบัน ผมรูสึกวาการศึกษา

บานเรากําลังพัฒนาคนไปสูทิศทางของความ “เกง เห็นแกตัว และเปนทุกข” มากกกวา

เพราะสุดทายแลว ส่ิงที่ทานนายกฯ ไดนําเสนอมาเกี่ยวกับปญหาที่เห็นวาควรเรงแกไข ก็ยังวนเวียนกลับไปเรื่องของการที่เด็กสอบวัดความรูไดตํ่ากวามาตรฐานที่ผูใหญเปนคนตั้ง

ท่ีตองเนนย้ําวาเปนมาตรฐานที่ผูใหญเปนคนตั้ง เพราะวา ณ ขณะปจจุบันเวลานี้ที่ผมกําลังเขียนบทความอยู มีเด็กไทยอีกนับแสนคนที่กําลังมีความทุกขกับการสอบ GAT – PAT

จริงๆ ผมวาวิธีคิดมันผิดตั้งแตการจัดระบบการเรียนในหองเรียนแลว ทุกวันนี้ผมคิดวาที่เด็กตองเรียนวิชาอะไรตางๆ กันสัปดาหละเกือบ 15 วิชาไมใชสหวิทยาการ แตกลับกลายเปนการการเรียนรูในส่ิงที่เกินความจําเปน

แลวสุดทายเด็กก็ตองกลับเขาสูระบบโลกของการแขงขัน เพียงเพ่ือใหได เรียนในสถาบันการศึกษาที่มีชื่อเสียง เรียนในสาขาวิชาที่มองเห็นชองทางการทําเงินไดมาก ภายใตบริบทแวดลอมอยางการถูกคาดหวังของครอบครัว คานิยมของสังคม ซึ่งส่ิงเหลานี้ก็สงผลตอระดับความเหลื่อมลํ้าทางดานโอกาสที่จะไดรับการสงเสริมสนับสนุนทางการศึกษา (อยางนอยๆ คนเรียนเปนวิศวกรสังคมอยางผม ก็รูสึกวาถูกทอดทิ้งจากสังคมเหมือนกัน)

พูดสรุปอยางงายๆ คือ ทุกวันนี้เด็กไทยเราไมไดอยูในสภาพสังคมที่เอื้อตอการเรียนรู แตอยูในสภาพของการถูกยัดเยียดใหตองเรียนรู

นาแปลกใจตรงที่วา หลายปที่ผานมา ไดมีนักวิชาการดานการศึกษาคนสําคัญๆ ในบานเรา ออกมาพูดถึงระบบการศึกษาแนวใหมหลายๆ แนว ที่เนนการใหผูเรียนไดฝกการมีจินตนาการ มีความฉลาดทางอารมณ มากกวาการเรียนแบบยัดเยียด แขงขัน ที่ทําใหเด็กมีแตความรู แตขาดความคิดสรางสรรค ขาดความสามารถในการดํารงชีวิตอยางมีความสุข ไมวาจะเปน ดร.วิจิตร ศรีสอาน, ดร.รุง แกวแดง ฯลฯ

แตในวันที่คนเหลานี้มีอํานาจตั้งแตการเปนขาราชการระดับสูง จนถึงวันที่เปนผูบริหารกระทรวงศึกษาธิการ กลับไมมีคนไหนทําในสิ่งที่ตัวเองเคยเสนอสมัยเปนนักวิชาการกันสักคน

ส่ิงที่รายที่สุดเลยคือ ต้ังแตเรื่องวาดวยระบบการศึกษา ไป

Page 23: DemoCrazy • Volume 18

DemoCrazy .23.

Volume 18 | May 2010

จนถึงระบบการสอบเขามหาวิทยาลัย จนมาถึงการปฏิรูปการศึกษาครั้งนี้ รัฐบาลพูดถึงแตการระดมผูทรงคุณวุฒิมาชวยกันคิด ชวยกันขับเคล่ือน

แลวเด็กเยาวชนในฐานะผูรับผลกระทบจากระบบการศึกษาละ....

ส่ิงที่เราควรตองยอมรับความจริงก็คือ ปญหาความลมเหลวของประเทศเรา ต้ังแตการพัฒนาในเชิงเศรษฐกิจ สังคม ไปจนถึงการเมืองที่ทุกวันนี้รัฐบาลปจจุบันเองก็กําลังถูกปญหามะเร็งการเมืองระยะสุดทายเลนงานอยูทุกวี่ทุกวัน

มันก็มีรากฐานมาจากปญหาระบบการศึกษา ที่ไมเปดชองใหคนไดพัฒนาตนเองตามอัตลักษณ ศักยภาพของแตละคน แตถูกยัดเยียดใหเขาสูระบบการผลิตใหเปนประเภทเดียวกัน มีแคเพียงวาใครที่แข็งแรงพอและเชื่องพอก็สามารถอยูรอดได แตสําหรับคนที่ไมแข็งแรงพอตอการเปนทาสทางความคิดได ก็จะตองขาดใจตายไปจากระบบกลางสนามสอบแขงขัน หรือหันเขาหาพฤติกรรมเบี่ยงเบนทางสังคม ที่สําคัญคือ แคเพียงการมีสวนรวมของเด็กและเยาวชนในนโยบายที่มีผลกระทบตอตนเองอยางเรื่องการศึกษา ที่ผานมาก็ไมเคยมีอยางจริงจัง เวทีที่รับฟงเสียงของเด็กเยาวชน แลวนําไปขับเคล่ือนจริง รวมถึงการมีสัดสวนเด็กเยาวชนในคณะกรรมการ นโยบายตางๆ ก็มีนอยมาก (และอยูในวงจํากัด) มันก็นาจะเปนคําตอบของคําถามไดวา ทําไมทรัพยากรมนุษยในสังคมไทยถึงมีปญหาเรื่องวุฒิภาวะประชาธิปไตย อันเปนเหตุแหงความแตกแยกวุนวายในบานเมืองเราในปจจุบัน

ดังนั้น ถาการปฏิรูปการศึกษายังไมหันมาทบทวน ใหความสําคัญกับการสรางบรรยากาศการเรียนรูเพ่ือการคนพบตัวตนของผูเรียน และพัฒนาศักยภาพในสิ่งที่เปนตัวเองไดอยางเต็มที่ แตมุงการผลิตใหเปนประเภทเดียวกัน และคัดทิ้งคนที่ไมสามารถทําตามไดใหตองหายไปจากการมีตัวตนในสังคมดังที่เปนอยู ผมวานาเปนหวงแลวนะ ถาตอไปประเทศไทยจะมีแตหุนยนตที่กินขาวแทนน้ํามัน มีชีวิต แตขาดความเปนมนุษย มีความรู แตไมมีความคิดสรางสรรค ทํางานเปน แตดูแลสังคมไมได

ผมขอเสนอวา องคกรที่เปนเหมือน สสส. ในดานการศึกษา ที่ทานรัฐมนตรีวาการกระทรวงศึกษาธิการไดพูดถึง ควรตองมีหนาที่นอกเหนือจากการสนับสนุนองคกรภาคประชาสังคมในการจัดการ

เรียนรูแลว ควรสนับสนุนกิจกรรมนอกหลักสูตรสําหรับเด็กและเยาวชนดวย เพราะการทํากิจกรรมนอกหลักสูตร เปนเสมือนชองทางที่จะทําใหเด็กไดพัฒนาตนเองตามความสนใจ อีกทั้งเปนการฝกทักษะชีวิตที่ดี รวมถึงฝกการมีจิตอาสาที่จะทําอะไรเพื่อผูอ่ืน เพ่ือสังคม หรือกลุมที่นอกเหนือไปจากครอบครัว และโรงเรียน

และเพ่ือการบูรณาการไปในทิศทางเดียวกัน ผมคิดวารัฐบาลควรสนับสนุนใหเกิดโรงเรียนนํารองแนวการสอนแบบวอลดอรฟ หรือแนวแบบที่ ดร.มีชัย วีรไวทยะ กําลังทําอยูที่โรงเรียนลําปลายมาศพัฒนา ที่บุรีรัมย ซึ่งเนนการศึกษาเพื่อพัฒนาความเปนมนุษยที่สมบูรณ ทั้งรางกาย ความคิด อารมณ จิตวิญญาณ ซึ่งหากเรานํารองระบบการศึกษาแนวนี้ พรอมกับการพัฒนาการเรียนรูนอกหลักสูตรผานกิจกรรมขององคกรภาคประชาสังคม กลุมกิจกรรมเด็กและเยาวชน รวมถึงการจัดสภาพบรรยากาศในสังคม ทั้งส่ือโทรทัศน วิทยุ อินเตอรเน็ต รวมถึงการพัฒนาขยายสถานที่หองสมุดมีชีวิต หรือสถานที่สําหรับการเรียนรูตลอดชีวิตดวยแนวคิดสมัยใหมตามแนวที่สํานักบริหารองคความรู (องคการมหาชน) ซึ่งไดริเริ่มทํามาตั้งแตสมัยรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ใหมีทั่วประเทศ แลวสงเสริมใหเด็กยากจน ดอยโอกาส เขาถึงสถานที่เหลานี้ไดมากขึ้น ผมเชื่อวาเราจะสรางสังคมแหงการเรียนรู (Knowledge Base Society) ที่จะทําใหเราไดประชากรที่มีมากกวาความรู แตเปนประชากรที่มีความสุขสมบูรณในความเปนมนุษย และมีจิตอาสา มีสํานึกรับผิดชอบที่จะรวมกันดูแลสังคมไดอีกดวย

ในขอสุดทาย ผมตั้งใจหยิบยกผลงานที่เปนความดีของนักโทษชายทักษิณขึ้นมา (เทาที่พอจะนึกไดอยางสุดๆ แลว) เพ่ือสนองนโยบายของทานนายกฯ อภิสิทธิ์ ที่ไดกลาวย้ําวา “ในเรื่องการศึกษา ตองไมแบงขางรัฐบาล หรือฝายคาน ไมแบงสี ไมแบงขาง”

อยางนอยแมผิดหวังในหลายๆ ประเด็น แตผมก็ดีใจที่สุดที่ทานนายกฯ ไดยํ้าชัดขอนี้ เพราะทุกวันนี้เด็กและเยาวชนไทยโชครายมากพอแลว กับการเปนเหยื่อของวิธีคิดที่ใจแคบของผูใหญและความลมเหลวของระบบราชการที่สงผลกระทบตอการขับเคล่ือนนโยบายการศกึษา

อยาใหพวกเราตองโชครายกับการเปนเหยื่อของความขัดแยงทางการเมืองอีกเลย...

“ถาตอไปประเทศไทยจะมีแตหุนยนตที่กินขาวแทนน้ํามัน มีชีวิต แตขาดความเปนมนุษย มีความรู แตไมมีความคิดสรางสรรค ทํางานเปน แตดูแลสังคมไมได”

Page 24: DemoCrazy • Volume 18

.24. DemoCrazy

Volume 18 | May 2010

SSS SONG SOCIAL SPIRIT

ผมเขียนบทความนี้ในชวงเวลาที่ประเทศไทยอันเปนที่รักย่ิงของผมและชาวไทยทั้งหลายกําลังเผชิญวิกฤติรอบดาน วิกฤติที่ไมใชเรื่องบังเอิญ หากแตเปนส่ิงที่คนบางกลุมจงใจใหแผนดินนี้ลุกเปนไฟเพ่ือหวังกอบโกยผลประโยชนที่เปนของคนไทยทั้งผองมาเปนของพวกเขาเสียเอง ทุกครั้งที่ผมรูสึกถึงความออนแอของคนในชาติ ซึ่งอาจหมายรวมถึงผมดวยนั้น ผมจะนึกถึงบทเพลงพระราชนิพนธ “ความฝนอันสูงสุด” อยูเสมอ และครั้งนี้ก็เชนกัน

“ความฝนอันสูงสุด” เปนบทเพลงพระราชนิพนธในพระบาทสมเด็จพระเจาอยูหัว ลําดับที่ 43 ซึ่งทรงพระราชนิพนธในป พ.ศ. 2514 โดยสมเด็จพระนางเจาฯ พระบรมราชินีนาถ มีพระราชเสาวนียให ทานผูหญิงมณีรัตน บุนนาค ประพันธบทกลอนแสดงความนิยมสงเสริมคนดีใหปฏิบัติหนาที่เพ่ือประเทศชาติเพ่ือตอบแทนคุณแผนดินเกิด และพระราชทานแกขาราชการทหาร ตํารวจ และพลเรือน เพ่ือเตือนสติมิใหทอถอยในการทําความดี โดยถอดความมาจากเพลง “The Impossible Dream” ซึ่งเปนเพลงละครบรอดเวยเรื่อง “Man of La Mancha” ตอมา สมเด็จพระนางเจาฯ พระบรมราชินีนาถ ไดกราบบังคมทูลพระกรุณาขอให พระบาทสมเด็จพระเจาอยูหัว ทรงพระราชนิพนธทํานองในคํากลอนดังกลาว

บทเพลงพระราชนิพนธนี้เตือนสติใหเราคนไทยทุกคนอยาไดละความพยายามที่ทําความดี แมจะเปนความดีที่ไมมีผูใดมองเห็นหรือรับรูก็ตาม จง “ปดทองหลังองคพระปฏิมา” หลายคนอาจทอแทในการทําความดี เพราะทําดีแลวมักไมไดดี ผมจึงขออางคําสอนของทานพุทธทาสที่วา “ทําดี ดี ทําชั่ว ชั่ว” ซึ่งหมายความวา การทําดีนั้นยอมดีเสมอ และเมื่อทําดีแลวไมควรคาดหวังส่ิงตอบแทน และการทําชั่วนั้นเปนส่ิงที่ชั่วราย สวนคนที่ทําชั่วหรือทําผิดตองยอมรับในความผิดนั้นเสียกอนจึงจะสมควรไดรับการใหอภัยจากผูอ่ืน เหนือไปกวานั้นเขาจะตองมุงแกไขส่ิงที่ผิดใหถูกตองดวย

ผมมักบอกกับตัวเองเสมอวา เราไมสามารถเลือกยืนตรงกลางระหวางความดีและความชั่ว หรือระหวางถูกและผิดได เหตุที่ประเทศชาติตองเผชิญกับวิกฤติเชนนี้ก็ เพราะสังคมไทยเปนสังคมที่ประนีประนอม ซึ่งไมใชเรื่องผิด หากแตการประนีประนอมนั้นตองกระทําเปนกรณี ๆ ไป เราจึงไมควรอยางย่ิงที่จะประนีประนอมกับความชั่วหรือความผิด เราจะยอมใหคําวา “สังคมสีเทา” เปนนิยามของสังคมไทยไมไดอีกตอไป เพราะผลของมันไดกําเนิดขึ้นและพัฒนากลายเปนวิกฤติในปจจุบันที่เราคนไทยเจ็บปวดที่สุด

เหลาขาราชการทั้งหลายควรตองตระหนักและสําเหนียกเสมอวา เมื่อทานไดขึ้นชื่อวาเปน “ขาราชการ” แลว ทานตองปฏิบัติหนาที่ใหสมกับส่ิงที่ทานไดปฏิญาณไว เมื่อขาราชการบางสวนไมปฏิบัติหนาที่ดวยความกลาหาญ ซื่อสัตย สุจริต และมีคุณธรรม ยึดถือความดีเปนที่ ต้ัง และเห็นแกผลประโยชนของชาติเหนือผลประโยชนสวนตน ทานก็ไมสมควรไดรับการยกยอง สรรเสริญ

โดย ก-ฤ-ช

ความฝนอันสูงสุด เพลงพระราชนิพนธในพระบาทสมเด็จพระเจาอยูหัว

ขอฝนใฝในฝนอันเหลือเชื่อ ขอสูศึกทุกเม่ือไมหวั่นไหว ขอทนทุกขรุกโรมโหมกายใจ ขอฝาฟนผองภัยดวยใจทะนง

จะแนวแนแกไขในส่ิงผิด จะรักชาติจนชีวิตเปนผุยผง จะยอมตายหมายใหเกียรติดํารง จะปดทองหลังองคพระปฏิมา ไมทอถอยคอยสรางสิ่งที่ควร ไมเรรวนพะวาพะวังคิดกังขา ไมเคืองแคนนอยใจในโชคชะตา ไมเสียดายชีวาถาสิ้นไป น่ีคือปณิธานที่หาญมุง หมายผดุงยุติธรรมอันสดใส ถึงทนทุกขทรมานนานเทาใด ยังม่ันใจรักชาติองอาจครัน โลกมนุษยยอมจะดีกวานี้แน เพราะมีผูไมยอมแพแมถูกหยัน คงยืนหยัดสูไปใฝประจัญ ยอมอาสัญก็เพราะปองเทิดผองไทย

“ความฝนอันสูงสุด” ของไทยทั้งผอง

จากคนไทยทั้งชาติ โดยเฉพาะในสถานการณที่สถาบันหลักของประเทศกําลังถูกทาทายอยางหนักจากคนบางกลุม คํารองที่วา “จะรักชาติจนชีวิตเปนผุยผง” และ “ยอมอาสัญก็เพราะปองเทิดผองไทย” สะทอนภาพความรักและหวงแหนประเทศชาติ และการปกปองสถาบันหลักรวมถึงอธิปไตยของประเทศดวยชีวิต ผมเชื่อเชนเดียวกับคนไทยสวนใหญวา สถาบันพระมหากษัตริยถือเปนศูนยรวมจิตใจคนไทยทั้ งผอง หรืออาจกลาวไดว าสถาบันพระมหากษัตริยทําใหความเปน “ชาติ” นั้นชัดเจนและแข็งแรงขึ้น นั้นก็เพราะพระมหากรุณาธิคุณที่แผมาถึงคนไทยทุกคนอยางเทาเทียมกัน

หลายคนมักพูดวา อยากใหคนไทยรักกัน แตเราตองยอมรับวาทามกลางความขัดแยงและความรูสึกเกลียดชังที่รุนแรงในแผนดินไทยนี้ยากที่จะกอใหเกิดความรักขึ้นได แตก็ไมใชวาจะเปนไปไมได แตผมเองก็ยังจินตนาการไมออกวามันจะเกิดขึ้นดวยเหตุปจจัยใด ผมคิดวาในเวลานี้เราคนไทยอาจยังไมจําเปนตองรักกันก็ได แตเราตองอยูรวมกันใหได

ถึงเวลาแลวครับที่เราคนไทยจะรวมกันตั้งปณิธานวาเราจะตอบแทนคุณแผนดินอันเปนที่เกิด ที่ทํากิน และท่ีอยูอาศัย โดยรวมกายรวมใจทําความดี ปกปองชาติบานเมืองและสถาบันอันสูงสุดดวยชีวิต เพ่ือให “ประเทศไทย” ดํารงอยูสืบไป หากเราเพิกเฉยตอการกระทําอันชั่วรายของคนบางกลุม เราอาจสิ้นชาติก็เปนได

“ถึงทนทุกขทรมานนานเทาใด ยังมั่นใจรักชาติองอาจครัน”

Page 25: DemoCrazy • Volume 18

DemoCrazy .25.

Volume 18 | May 2010

ผมเปนคนหนึ่งที่เขาใจมาตลอดวา พฤติกรรมการมี

สองบุคลิกคือ “ความปวยไข” ที่ตองการการรักษา เพราะ คนสองบุคลิกนาที่จะเปนสภาพจิตซึ่งไมมั่นคง และ ออนไหว ผมไมเช่ียวชาญดานจิตวิทยามากพอจะสรุปถึงสาเหตุของการเกิดบุคลิกภาพที่มากกวา 1 ในคนๆ เดียวได อยางรัดกุมเพียงพอ แตเทาที่เรียกรูจากหนังเรื่องหนึ่งช่ือ “ขอโทษ แฟนผมโหด แตนาหอม” (หนังตลกเกาหลี ครับ) ผมคิดวา บุคลิกภาพซอนนาจะเกิดมาจากการที่สภาพจิตใจไมพรอมยอมรับความจริงบางอยาง ที่กระเทือนตอความรูสึกอยาลํ้าลึก จึงไดสรางอีกบุคลิกหนึ่ง (หรือมากกวานั้น) ขึ้นมาเพื่อจัดการกับปญหา

และอยางที่ยืนยันไปในตอนตน ผมไดรับรูเรื่องราวของของบุคลิกภาพซอนนี้จากการดูหนังเกาหลีเรื่องหนึ่ง ตอนแรกผมต้ังใจดูเพ่ือผอนคลายเครียดจากสถานการณการบาน (เรื่องวิทยานิพนธของผมเอง) และ เรื่องการเมือง (ความรุนแรงทางการเมืองของไทยในป 2553)

ทวา ปรากฏดูๆ ไปกลับย่ิงรูสึกวา หนังเรื่องนี้มีอะไรอะไร มากกวาที่คิดครับ คือ คนเขียนบทหนังจงใจท่ีจะตั้งคําถามอยางจังถึงการดํารงอยูของบุคลิกภาพซอนในคนๆหนึ่ งว า “ตกลงบุคลิกภาพซอนนั้นมีตําแหนงแหงที่อยางไรในสังคม?”

สําหรับคําอธิบายทางการแพทยมาตรฐานแลว บุคลิกภาพซอนนั้นอาจเหมือน “สวนเกิน” ที่ตองตัดออกไปใหสภาพจิตกลับสูเสถียรภาพ และ ยอมรับตอสภาพปญหาไดโดยบุคลิกภาพเดี่ยว ทวา นั่นคือคําอธิบายเดียว และ เปนคําอธิบายที่ถูกตองสมบูรณจริงหรือ? หากวิเคราะหโดยอิงหลักการของแนวคิดแบบ “หลังสมัยใหม” (Postmodern) ก็จะพบวา จริงๆแลว ยังมีเหตุผลอีกดานหนึ่งใหเราคนพบไดเสมอ เหตุผลทางการแพทยมาตรฐานดังที่ไดกลาวมาแลวจึงไมใชทั้งหมด เพียงทวาเปน อภิมหาอรรถกถาธิบาย (Meta-narrative) (ในภาษาของอ.ไชยยันต ไชยพร) หรือก็คือ เปนการใหความหมายหลัก ที่มีอิทธิพลเหนือพฤติกรรมหนักในสังคม เทานั้นเอง

ตัวหนังไดสะทอน “อีกเหตุผล” หนึ่ง ออกมาไดอยางจะแจงดวยการชี้วา แมนางเอกของเรื่องซึ่งมีบุคลิกภาพซอนจะ เปนคนปวยในสายตาคนรอบขางของเธอ ทวา สําหรับพระเอกซ่ึงมาเจอเธอทีหลัง (โดยไมรูวาเธอปวย ในนิยามของคนทั่วไป) พระเอกกลับหลงรักเธอ(กลาวอยางเครงครัดคงตองบอกวา หลังรักบุคลิกภาพซอนของเธอโดยคิดวาเปนเธอ, หรือบุคลิกภาพซอนควรจัดเปนอีกเธอหน่ึง?) เมื่อเปนเชนนี้ พระเอกตองเผชิญกับเง่ือนปมในใจที่หนักหนวงอยางมากคือ จะยอมใหนางเอกเขารับการบําบัด

ถลกหนัง

มุมมองตอบุคคล สองบุคลิก คนปวยจริงหรือ?

โดย แบงค งามอรุณโชติ

(และบุคลิกภาพซอนซึ่งพระเอกหลงรักจะหายไป) หรือจะ ไมยอมใหนางเอกไปรักษา ซึ่งนางเอกจะเปนคนปวยในความหมายมาตรฐานตอไป

ประเด็นนี้ถือวา ลึกซึ้งอยางมาก เพราะสําหรับคนอื่นแลว บุคลิกภาพซอนของนางเอกคือสวนเกิน และ นางเอกคือคนปวย ทวา สําหรับพระเอกบุคลิกภาพซอนคือคนรัก และ นางเอกก็แคผูหญิงที่อารมณผันผวนคนหนึ่ง การจะบําบัดเพ่ือใหบุคลิกภาพที่พระเอกรักหายไป ในกรณีนี้เทากับวา การบําบัด นั่นคือการ “ฆา” คนรักของพระเอกดีๆ นี่เองมิใชหรือ ผมน้ําตาไหลเมื่อเห็นพระเอกของเรืองรองไหดูนางเอกเขารับการบําบัด กระทั่งหายเปนปรกติ ภาพนี้ยอนแยงตอ “ความรูสึกมาตรฐาน” ที่สังคมพยายามสรางนิยามดั้งเดิมไวอยางยิ่ง เพราะปกติคนปวยหายปวย = ดีใจ ย้ิมhappy ending ทวาสําหรับเรื่องนี้การที่นางเอกหายปวยคือความทุกแสนสาหัสของพระเอก (และของคนดชูางออนไหวอยางผม)ซะนี่

สุดทาย หนังตลก (ที่ทําใหผมเสียน้ําตา) เรื่องนี้พยายามประนีประนอมกับคนดู (ที่คาดวาจะไดดูหนยังตลกไมใชหนังเศรา) ดวยการ ใหนางเอกกลับมาฟนความสัมพันธกับพระเอกอีกครั้งหลังจากหาย (แบบงงๆ คือ จําไมไดไมเปนไร เรามาเริ่มเรียนรูกันไหมนะ 555) ซึ่งถาเปนผม คงไมลดละการตั้งคําถามแรงๆใหทายสุดแลวมันมีมีที่ลงจอดใหกับความรูสึกคับของใจ และ ใหความรูสึกที่จะตองทวงถามสังคมกับการใหคํานิยายมาตรฐานกับบางอยาง (แมกระทั้งส่ิงที่เปนศาสตรสุดๆอยางเรื่องการแพทยนี้) บางทียังละเลยความเปนคน หรือ ความเขาใจที่เคารพในความแตกตาง (คนที่มีบุคลิกภาพไมสอดคลองกับคนทั่วไปอาจไมปวย แคแปลกหนะเขาใจไหมวาแคแปลก?)

แลวคุณยังจะเชื่ออีกหรือวา มันมีความหมายที่แข็งทื่อตายตัวใหแกทุกๆ อยางอยูจริง ?

Page 26: DemoCrazy • Volume 18

.26. DemoCrazy

Volume 18 | May 2010

สัมภาษณพิเศษ “รุงมณี เมฆโสภณ” ประชาธิปไตยเปอนเลือด จากวันนั้น... ถึงวันนี ้

“ความรุนแรงไมใชคําตอบในการแกไขปญหา ความรุนแรงมีแตมนัไดสรางบาดแผลและความราวรานใหกับผูที่ไดรับผลกระทบ”

กิตตินันท นาคทอง / ยุรชัฎ ชาติสุทธิชัย

เหตุการณนองเลือดอีกหนาหนึ่งในประวัติศาสตรการเมืองไทยซึ่งเปนที่รูจักกันดีคือ เหตุการณพฤษภาทมิฬเมื่อป 2535 ซึ่งปจจุบันนี้นับเปนปที่ 18 แหงการครบรอบเหตุการณ หากแตความนาสนใจหนังสือที่ ช่ือวา “เ บ้ืองลึก เ บ้ืองหลัง พฤษภา 35 ประชาธิปไตยเปอนเลือด” โดยนักเขียนที่ช่ือ รุงมณี เมฆโสภณ อดีตเจาหนาที่บีบีซีไทยและกอง บก.นสพ.ผูจัดการ

ในประโยคที่ วา “เหมือนมาไกล แตไปไม ถึงไหน ” สะทอนใหเห็นถึงพัฒนาการของการเมืองไทย ที่ยังหนีไมพนวงจรอุบาทว รวมทั้งเหตุนองเลือดที่เกิดขึ้นราวกับประวัติศาสตรถูกซ้ํารอยเดิม วันนี้เราจะมาพูดคุยกับผูเขียน “ประชาธิปไตยเปอนเลือด ” กับทัศนคติวาดวยเหตุการณนองเลือด และพัฒนาการที่ไปไมถึงไหนของการเมืองไทยวามันเพราะอะไร

ในโอกาสนี้เรายังไดพูดคุยกับทายาทของราชบัณฑิตและนักรัฐศาสตรคนสําคัญคนหนึ่งของไทย “พชร สมุทวณิช” ซึ่งไดรวมวงสนทนาในโอกาสนี้ แมวาส่ิงที่เกิดขึ้นเราคงไมมีคําตอบใหกับสังคม ที่เปนสูตรสําเร็จตายตัว แตอยางนอยเรายังมีความเช่ือเสมอวาบานเมืองในยามนี้มีทางออกเสมอ ถาโอกาสถูกเปดออกมาราวกับแสงสวางที่ปลายอุโมงค ... เมื่อไหรก็เมื่อนั้น

DemoCrazy : ในฐานะคนที่ไมไดผานเหตุการณพฤษภาทมิฬ อธิ บ ายคร า วๆ ว ามั น เกิ ดอะ ไ รขึ้ น และหนั ง สื อประชาธิปไตยเปอนเลือดเลมนี้จะบอกอะไรกับผูอาน?

รุงมณี : พฤษภาฯ เนี่ย หัวใจของการตอสูสมัยนั้นเนี่ยอยูตรงที่วา เขาตองการนายกรัฐมนตรีมาจากการเลือกตั้ง นั่นคือประเด็นหลัก เปาหมายใหญ แตเสร็จแลวเขาไดนายกรัฐมนตรีที่ไมไดมาจากการเลือกตั้งอีก แตทุกคนแฮปป

พชร : ชวงหลังจากคุณอานันท (ปนยารชุน : นายกรัฐมนตรี

ในขณะนั้น) ซึ่งจริงๆ แลวเนี่ย มันนาจะเปน พูดใหจบคือไมตองการนายกรัฐมนตรีที่มาจากเผด็จการทหาร รุงมณี : คืออยางนี้ โดยหลักเนี่ยก็คือ ประเด็นของการสืบทอดอํานาจ (กลัวในการสืบทอดอํานาจของทหาร) ถูกตอง เพราะวาการปฏิวัติเนี่ย แตประเด็นก็คือมันเบ่ียงเบน แตมันมีความซับซอนอยูในสถานการณ ซึ่ งถาอานเลมนี้ แลวเนี่ ย จะเข าใจอยางมาก ประชาธิปไตยเปอนเลือดเน่ียจะใหเหตุผลวาทําไม ที่สําคัญที่สุดก็คือเวลาเราเห็นปรากฏการณเนี่ยวามันเกิดอยางนี้ขึ้น มันเปนอยางนี้ แตมันไมใชแคนั้น ทําไม พล.อ.สุจินดา (คราประยูร : หัวหนาคณะ รสช.) ซึ่งประกาศตั้งแตแรกบอกวาจะไมรับ แตในหนังสือเนี่ยจะบอก มันจะคอยๆ คล่ีคลายวาทําไมถึงตองรับ เหตุผลเนี่ยคือตอนที่เคายึดอํานาจเนี่ยเขาประกาศชัดเจนต้ังแตตนวาจะคืนอํานาจ แลวก็ไมเปนนายกฯ เอง ไปตะเกียกตะกายหาคนที่เขาคิดวาเหมาะสมมา เสร็จแลวสถานการณมันพัฒนาไปเนี่ย จนกระทั่งถึงพูดงายๆ วามันมีพัฒนาการของสถานการณ มันไมใชแควา หนึ่งบวกหนึ่งเปนสอง วาโอเค ปฏิวัติมาแลวก็เปนแบบสมัยกอน ซึ่งในนี้เนี่ยเคาจะพูดชัด อันหนึ่งก็คือวาที่ไมเลาใหฟงทั้งหมดเนี่ยเพราะวา หนังสือมันจะคอยๆ คล่ีคลาย (มันจะอานแลวชัดเจนกวา) ใช มันจะละเอียด แลวจะทําใหเราเขาใจสถานการณขึ้น แลวก็อันหนึ่งที่วิธีเขียนในนี้เนี่ย แตละชิ้นเนี่ยซึ่งปกติจะไมคอยมีใครทํา ก็คือวา มันจะมีลอมกรอบ มีเรื่องประกอบ ซึ่งถาเปนคนทําหนังสือพิมพบอกมันเปนลอมกรอบ เพ่ือที่จะขยายใหเขาใจมากขึ้น เวลามีตัวละครเดนขึ้นมา เวลาเขาพูดพาดพิงถึงอันนี้ แทนที่จะไปทําแบบนักวิชาการ แตนี่ วิธีการทําในลักษณะที่เขาเรียกวา วิธีการทางวารสารศาสตรหรือหนังสือพิมพ คือแทนที่จะไปมีเชิงอรรถ ดัชนียาวเหยียด หรือตองไปพลิกหนาแลวก็ไปเปดโนน เราทําใหอานใหงายขึ้นวา โอเค ตอนนี้พูดถึงคนนี้ คนนี้คือใคร พูดถึงสถานการณ อยางสมมติพูดถึงกรณีการตั้งที่ปรึกษา บานพิษณุโลก ที่พลเอกชาติชายมีขอดีขอเสียอยางไร

Page 27: DemoCrazy • Volume 18

DemoCrazy .27.

Volume 18 | May 2010

พชร : ขอดีของหนังสือเลมนี้ก็คือ วิธีการเขียนของพ่ีรุงเนี่ย เปนรูปแบบของการเขียนใน นสพ.ผูจัดการ ในยุคแรกๆ ซึ่งตอนนั้นไดชื่อวาเปนการอธิบายความที่งาย แลวก็มีขอมูลความรูในการดีไซนในแตละเร่ือง มีองคประกอบ มีหลายๆ อยางใหเขาใจงาย เพราะฉะนั้นเลมนี้เนี่ยนาจะเปนหนังสือที่ดีมาก

รุงมณี : แลวในนี้คือสวนหน่ึง ตองเขาใจกอนวาเปาหมาย แมวาหลายคนจะมาสนใจวามันเปนเรื่องเกี่ยวกับพฤษภาฯ แตโดยเปาหมายของเรื่องนี้ ไมใชอยูที่เหตุการณพฤษภาฯ แตเปนชวงระยะเปล่ียนผานจากรัฐบาลพลเอกเปรม (ติณสูลานนท) รัฐบาลพลเอกชาติชาย (ชุนหะวัน) ชวงระยะเวลานั้นเกิดอะไรขึ้น ในชวง 2531 จนถึงกุมภาพันธ 2534 ทําไมจึงนําไปสูการรัฐประหารคราวนั้น ตัวละครที่เกี่ยวเนื่อง จริงๆ แลว ดร.ชัยอนันต (สมุทวนิช) บอกวา จริงๆ แลวสถานการณมันสามารถยอนไปถึง 2524 ได แตถาขนาดนั้นมันก็คง (ทํามือใหเห็นความหนาของหนังสือ) เพราะขนาดนี้คนเขียนเขาตกใจเอง วาทําไมมันหนาไดขนาดนี้ แตขอประทานโทษนะคะ ถูกนะคะ ประมาณแบบสองหนาบาท (หัวเราะ)

ส่ิ งหนึ่ งก็ คื อว า ในฐานะนัก เ รี ยนน อยในการ ศึกษาประวัติศาสตรการเมืองไทย เลมนี้จะสามารถบอกเลาที่ไปที่มากอนที่จะเกิดปรากฏการณ หรืออาการของโรค ที่เกิดเปนเหตุการณพฤษภาทมิฬขึ้นมา มันตองมีที่ไปที่มา มันมีความขัดแยงตรงไหน มันมีการตอสูกันอยางไร แลวทําไมถึงเปนอยางนั้น ในขณะเดียวกันมันจะมีกระบวนการตัดสินใจ วาทําไมถึงทําอยางนี้ ตรงนี้มันเปนเกร็ดประวัติศาสตรที่ไมคอยมีใครพูดถึง

DemoCrazy: คําวา "เหมือนมาไกล แตไปไมถึงไหน" ในความหมายของผูเขียนคืออะไร?

รุงมณี : หลายคนอาจจะใชคําวา "วงจรอุบาทว" ก็คือมันวนแลววนอีก แตวามันจะมีลักษณะอยางหนึ่งก็คือวา เราคิดวาทุกครั้งที่เกิดการเปลี่ยนแปลง มันควรจะมีพัฒนาการที่กาวหนาขึ้น แตโดยขอเท็จจริงเวลามันผานไป เกือบ 20 ป เราจะเห็นไดวาเราก็ยังไมไปไหนกันเลยเพราะฉะนั้น คําๆ นี้มันจะอยูในคําของผูเขียน จากใจของผูเขียนที่บอก ก็เดินมาไกลแตยังไปไมถึงไหน หรือบางทีเราเองซึ่งเปรียบเสมือนวาเหมือนเกาอี้โยก นั่งเกาอี้โยก โยกไปโยกมามือกําลังเคล่ือนไหว หลายคนคิดวามันกําลังเคล่ือนไหว แตมันนิ่งอยูกับที่

DemoCrazy: นับตั้งแตป 2535 จนถึงวันนี้ คือเหมือนกับวาจะเปลี่ยน แตก็ยังไมเปล่ียนเทาไหร ในเรื่องของประชาธิปไตย

รุงมณี : คือมันควรจะมีพัฒนาการที่ดีกวานี้ ไมใชวายอนกลับไปกลับมา เชน หลายคนกลาววาการรัฐประหารในป 2534 นาจะเปนการรัฐประหารครั้งสุดทาย แมแตพลเอกสุจินดาก็พูดเชนนั้นเหมือนกันวา เขาไมคิดวาจะมีการรัฐประหารอีกแลว เพราะรัฐประหารแลวทหารรูเองจากบทเรียนในประวัติศาสตรวา ถาทหารยึดอํานาจแลวก็ครอบครองอํานาจเอง ผลที่ไดรับก็เหมือนกับสมัยจอมพลประภาส (จารุเสถียร) จอมพลถนอม (กิตติขจร) ก็คือ อยูนานไปก็จะเต็มไปดวยความเกลียดชัง แลวหลังจากนั้นก็ถูกประชาชนไมพอใจแลวโคนลมในที่สุด เพราะฉะนั้นเขารูบทเรียนนั้น เขาถึงไมอยากจะใหประวัติศาสตรมันซ้ํารอย เพราะฉะนั้นกรณีพฤษภามันก็นาจะเปนบทเรียนที่เพียงพอ แตในที่สุดมันก็เกิดกรณีของ 19 กันยายน 2549 ขึ้นมาอีก แลวก็เห็นไหมวาทหารเองก็ทําอะไรไมได ก็เหมือนเดิม แลวก็ตองหาตัวชวย ตัวชวยทําไมไดดังใจ เปล่ียนก็ไมได แลวก็ทําใหเวลามันถูกหายไปโดยไมไดประโยชน ทั้งๆ ที่มีอํานาจขนาดใหญ ทั้งๆ ที่มีอํานาจพิเศษ ที่จะแกไขปญหา เพราะฉะนั้น ปญหาที่เปนรากฐานของสังคมจริงๆ มันก็ถูกสะสม ทับซอน หมักหมม ตองใชคําวาไมใชสะสม มันหมักหมม (เนนเสียง) แลวจนกระทั่งมันบานปลายจนเปนความขัดแยงของสังคมที่เปนอยูในขณะนี้

DemoCrazy: เปรียบเทียบเหตุนองเลือดระหวางป 2535 กับยุคปจจุบัน มีความแตกตางกันอยางไร? ความแตกตางมันเห็นไดชัด คือตอนนั้นมันไมมีความแตกแยกในสังคม สังคมคอนขางจะชัดเจน ชูธงเดียว คือไมเอานายกรัฐมนตรีที่ไมไดมาจากการเลือกตั้ง ไมตองการการสืบทอดอํานาจของเผด็จการทหาร หรือทหาร ตองการประชาธิปไตย แตสังคมที่เปนอยูในปจจุบันนี้มันมีความขัดแยง มีความแตกแยกทางความคิด ซึ่งความแตกแยกทางความคิด ก็ไมใชเรื่องผิดปกติ ของสังคมที่ศิวิไลซ ความแตกแยกทางความคิดเปนส่ิงที่เกิดขึ้นได

เพียงแตวามันมีประเด็นปญหาก็คือวา ความขัดแยง ณ ขณะน้ี มันเกิดแทรกตัวดวยความเกลียดชัง ซึ่งเปนส่ิงที่นากลัว และเปนส่ิงที่อันตราย เพราะความเกลียดชัง มันจะทําใหบางครั้งเกิดอคติ แลวก็เกิดความรุนแรงตามมาได เพราะฉะนั้นนั่นคือความแตกตางของสังคมในชวงพฤษภากับชวงหลังๆ โดยเฉพาะในชวงหลังตั้งแตป 2548-49 เรื่อยมาจนถึงปจจุบัน แลวบางทีก็ตองยอมรับวา ไมมีใครคาดมากอนวาสถานการณจะมาไกลขนาดนี้ ในเชิงของความขัดแยง แลวก็ความแตกแยกทางความคิด

DemoCrazy: หลังจากที่มันแตกแยกขนาดนี้แลว มันจะดําเนินตอไปอยางไร

รุงมณี : ไมมีใครตอบไดหรอกวามันจะเกิดอะไรขึ้น แตในลักษณะของพัฒนาการทางสังคม มันไมมีอะไรที่หยุดนิ่ง มันก็จะตอง ถึงใครจะบอกวามันเปนทางตัน มันไมมีทางออกแลว แตเราเปนนักเรียนวิทยาศาสตร เราเรียนมาทางดานวิทยาศาสตร เราไมเชื่อวามันจะตัน ทายที่สุดมันก็มีทางออก เพียงแตทางออกนั้น ส่ิงที่ทุกคนกลัวในขณะนี้ก็คือ ความเสียหาย ความรุนแรง การสูญเสีย คําเหลานี้มันเปนส่ิงที่คนที่มองสังคมในขณะนี้วิตก แตส่ิงที่ตามมาก็คือวา เมื่อเกิดความวิตกขึ้น หลายฝายก็ออกมาแสดงความคิดเห็น มีความพยายามที่จะเสนอแนวทางตางๆ ในการแกไขปญหา

วิกฤตการณใดก็ตาม มันจะนํามาสูลักษณะนี้ เพียงแตวาหลายคนอาจจะไมไดดังใจ หลายคนอาจจะไมรูสึกวามันเปนไปอยางที่ตัวเองตองการ แนนอน มันเรื่องของกลุมคน ของความพึงพอใจของแตละกลุมคน แตอยางไรก็ตามในวิกฤตการณมันมีเรื่องที่ดีเกิดขึ้น คือกระบวนการในการแลกเปลี่ยน

จะแลกเปล่ียนกันโดยที่ไมใชการพูดจากันดีๆ อาจจะมีวิวาทะ การแลกเปลี่ยนที่มีลักษณะที่รุนแรง ขัดแยง แตมันจะกอเกิดใหเกิดแนวความคิดใหม คือคุยๆ กันไปแลว เหมือนมันไมมีทางออก แตแลวมันก็เกิดไอเดียบางอยางขึ้น ทําไมเราไมไปตรงนั้น ทําไมเราไมไปทางนี้ มีทางเลือก มีแนวทางมากขึ้น แตไมอาจสรุปไดวา แนวทางไหนมันถูกตองที่สุด แนวทางไหนมันเปนแนวทางที่ประเสริฐสุด ในขณะนี้ อยางนอยที่สุดมีความพยายามของผูคนมากกลุมที่จะชวยกัน เพ่ือประคับประคองสังคมไมใหมันแตกราวไปมากกวานี้

DemoCrazy: ในชวงพฤษภาทมิฬที่ประชาชนเกลียดชังทหาร กับในชวงหลัง 19 กันยายน 2549 ที่ประชาชนเอาดอกไมใหทหาร เหมือนกับเปนเรื่องมุมกลับโดยสิ้นเชิง

รุงมณี : มันจะมีแนวความคิดแบบนี้แหละ ก็เห็นมีการพูดกันแบบวา ตอนนี้ไมชอบเส้ือแดง เส้ือแดงเผชิญหนากับทหาร ก็ไปเอาใจทหาร ดูแลทหาร แลวก็เอาใจทหาร แตก็ตองระวังวาไมใชการสงสัญญาณผิดๆ ที่จะใหทหารทําการปฏิวัติ แตมันก็ไมไดเปนหลักประกันอีกวาเขาจะไมปฏิวัติ ไมมีใครกลารับประกันวาจะไมมีการปฏิวัติอีก บางทีมันไมมีทางออกเลย อันนั้นอาจจะเปนทางออกเพื่อจะคลายๆ กับเบรคสถานการณขึ้นมา แตหลังจากนั้นมันก็เปนอีกเรื่องหนึ่งแลว เราจะใหทุกอยางมันวนกลับไปกลับมา กลับมากลับไปแบบนี้ หรือเราจะทําอะไรที่มากกวานี้ มันอยูที่วา คิดกันบางหรือเปลาวา

Page 28: DemoCrazy • Volume 18

.28. DemoCrazy

Volume 18 | May 2010

เราจะฝาขามตรงนี้ไปอยางไรดวยกัน จริงๆ แลวมันเปนปญหา ไมใชปญหาความขัดแยงตรงนี้นะ มันเปนปญหาใหญของชาติ แลวมันตองการระดมความคิดขนาดใหญ แลวบางทีมันอาจจะตองหยุด หยุดในที่นี้ก็คือหยุดทุกอยางไวกอน แลวดูซิวาตกลงปญหาอยูตรงไหน จะทํายังไง จะแกยังไง มันไมอับจนหรอก เราเปนคนไมเชื่อวาทุกอยางมันอับจน เราไมเชื่อวาการอับจนทางปญญา เราไมเชื่อความอับจนในการหาทางออก เพียงแตวาตองเปดกวางรับฟง และยอมรับความคิดที่แตกตางใหได มันไมมีใครไดอะไรทั้งหมด

พชร : มีบางคนพูดถึงขั้นวา มันมีทฤษฎีที่ที่คนสนใจ และคนรูสึกวามันอาจจําเปน เมื่อกี้นี้คลายๆ ออฟ (ผูสัมภาษณ) พูดถึงเรื่องสนับสนุนหาทางออกโดยทหาร มันรูสึกวาทางนั้นมันมีความเชื่ออยางที่พ่ีรุง (รุงมณี) บอกวา คือความเละเทะ ถูกส่ังสมมาจนกระทั่งระยะเวลาหนึ่งมันทําอะไรไมไดแลว มันอาจตองหยุดตรงนั้น หรืออาจจะถึงขั้นปดประเทศ หรือวาหยุดนิ่งๆ เพ่ือลางทําอะไรสักประมาณปหนึ่ง เพราะฉะนั้นคนก็เลยบอกวาส่ิงนี้มันจะเกิดขึ้นไมไดแนๆ เลย นอกจากระบบพิเศษหรือเปลา

รุงมณี : ก็มีการพูดกันไป ก็ตองดูวาอะไรที่มันจะเปนทางออก ทางเลือก คือมันตองมีออพชั่น (Option : ตัวเลือก) ทางนี้ไดไหม ขอเสนอท่ีพชรพูด หรือขอเสนอที่คนอื่นคิดออกมา เอามาเรต (Rate : จัดอันดับ) กัน

พชร : หยุดที่พ่ีรุง (รุงมณี) พูดมันลักษณะไหน แลวมันจะมีหนทางยังไงที่จะหยุดได มันคงหยุดเฉยๆ ไมได

รุงมณี : แนนอนๆ ประเด็นก็คือวา (จริงๆ มันคงไมหยุดเอง) มันตองการพลังขนาดใหญมาหยุดเหมือนกัน พลังขนาดใหญ บางคนอาจจะพูดถึงผูมีบารมีที่จะหยุดสถานการณ ตองมีบารมีขนาดใหญ ตองมีอํานาจขนาดใหญ แตบางทีเราบอกไมไดวาอะไร แลวบางทีเราก็นึกไมออกเหมือนกันวาอะไร แตเราเชื่อวาพอสถานการณมันไปถึงจุดหนึ่งแลว บางทีไมเคยมีใครบอกหรอก

กรณีของพฤษภาเหมือนกัน ไมมีใครบอกหรอกจะจบยังไง จะหยุดยังไง เพียงแตวากรณีของพฤษภา เหตุการณที่มันเปนชวงวิกฤติจริงๆ เนี่ย มันอยูแคประมาณ 4 พฤษภาถึง 24 พฤษภา โอเคมันมีไซดเอฟเฟกตหลังจากนั้นนะ มันมีดีเลยเอฟเฟกต ไซดเอฟเฟกต เพียงแตวามันเปนชวงจํากัดส้ันๆ แตตอนนี้เนี่ยมันยืดเยื้อมาตั้งแต 48 ถึงปจจุบัน มันยาวมากเลยนะ

พชร : ที่ พ่ีรุงพูดถูกที่ สุดก็คือ คนมองวามันตองมีอะไรอํานาจที่ย่ิงใหญมาก และอยูภายนอกเหนือความขัดแยงมาจัดการไง ทีนี้ทหารที่พูดเมื่อกี้ มันบังเอิญเปนอํานาจภายนอกที่จับตองไดและเห็นอยู ลอยอยูตัวเดียว นอกนั้นมันก็เปนอํานาจที่เราไมกลาพูดถึง ถูกไหม จริงๆ แลวถามวาคนตองการเรียกรองทหารใหมาปฏิวัติเหรอ (ไมใช เขาเรียกรองอยากจะใหบานเมืองมันสงบ มันปกติ)

รุงมณี : ตองระวังไง เพราะวาการสงสัญญาณแบบนี้เนี่ย มันมีดีกรีแตละคนไมเทากัน และตองยอมรับวาปญหาบางคนบอกวาปญหาคอรัปชั่น ปญหานักการเมืองที่ฉอฉล เปนปญหาใหญของชาติ รัฐประหารก็เปนปญหาใหญของชาติเชนเดียวกัน

พชร : แลวเปนปญหาที่ ถายอนไปเมื่อใกล 35 อันนี้ปญหาใหญที่เราผานพนมาสองปญหาตองแก คือ เราเจอ เรารูสึกวามันมีปญหาคอรัปชั่นมากนะ เราเอาทหารมาแกเมื่อป 34 แลวในที่สุดพอถึง 35 เราก็แกปญหาในเรื่องที่ทหารเขามา แลวตอนนี้เนี่ย เรากลายเปนตองเลือกหนึ่งในสองทาง มันเปนชอยส (Choice) ที่เราตองเลือก

รุงมณี : เราไมตองหาคําตอบหรอกวามันจะเปนยังไง เราไมตองการวา โอเค พอนักการเมืองมันฉอฉล เอาทหารมาปราบนักการเมือง เสร็จแลวเราตองการเลือกตั้งกันใหม เราก็ไดนักการเมืองที่ฉอฉลมาอีก แลวก็วนไป พอนักการเมืองฉอฉลก็ ไมเอา

พชร : ทีนี้มันก็กลายเปนวงจรอุบาทวเหมือนเดิมนะสิ (ใช

ถูกตอง ที่อาจารยชัยอนันตพูดไว) ตอนนี้ มันจะเปนไปไดไหมที่ถาพูดถึงเรื่องทหารแลว มันเปนไปไดไหมที่มันจะมีอะไรอื่นที่อยูขางนอก รุงมณี : ไมมีใครรู แตถึงจุดหนึ่งมันตองมี แลวถึงจุดหนึ่งอะไรที่เราคิดวายังลังเล ยังไมตัดสินใจ อาจจําเปนตองตัดสินใจ เพราะบางครั้งปจจัยในการที่เปนเง่ือนไขของการตัดสินใจ มันบอกไมไดวา ตองตัดสินใจวันนี้นะ เราไมรูวาอีกวันสองวันขางหนา อีกอาทิตยสองอาทิตยขางหนามันจะเกิดอะไรขึ้นมากกวานี้ ถามันมีความรุนแรงมากกวานี้

แตตองบอกวา อยาไปคิดวาความรุนแรงมันจะนําไปสูการแกปญหา เพราะบางคน คิดอยางนักตอสูบางคนคิดวามีความรุนแรง มีความสูญเสียจะเปนชัยชนะ อยางแบบพวกสุดขั้ว แลวเชื่อวาเมื่อรุนแรงถึงที่สุดแลว มันจะนําไปสูชัยชนะ แตชัยชนะบนความสูญเสียมันเปนบาดแผล มันเปนความเจ็บปวด เพราะฉะนั้น ส่ิงที่เรากําลังคุยอยูนี้ มันอาจจะไมมีคําตอบสําเร็จรูป มาถามเรา ไมรู เราก็ไมรู เราอยากรูเหมือนกัน

แตในขณะเดียวกัน พวกเราที่ทําส่ือหรือเขียนหนังสืออะไรตออะไรดวย มีหนาที่อีกอยางหนึ่ง นอกจากติดตาม ก็ตองมีหนาที่สังเกตการณดวย คือติดตามเพื่อที่จะหาขอเท็จจริงมานําเสนอ แตในขณะเดียวกันก็ตองถอยออกมา แลวทําหนาที่ออฟเซิรฟ (Observe : สังเกตการณ) เพ่ือจะทําใหเห็นภาพ

บางครั้งการคลุกฝุน คลุกอยูในสถานการณ (ทําใหเราไมเห็นวาขางนอกเกิดอะไรขึ้น) ใช เราจะเห็นขอจํากัด เหมือนกับวา เวลาทําไมประวัติศาสตรมันมีประโยชน มันมีประโยชนตรงที่วา ในสถานการณที่มันกําลังชุลมุน เราไมมีเวลาจะมาสนใจรายละเอียด แตพอทิ้งไวซักชวงหนึ่ง หลายอยางตกตะกอน ตกผลึก เราก็จะมองเห็นไดมากขึ้น แตละคนก็จะมีมุมมอง มันไมมีอะไรสมบูรณที่สุด เราไมสามารถคุยกับทุกคนได เราไมสามารถอยูในทุกสถานการณได เพราะสถานการณหนึ่ง มันไมใชมีแคสองดาน โปรดเขาใจวามันไมใช มันมีมิติของมัน แลวมิติของแตละเรื่องที่เกิดขึ้นเปนประวัติศาสตรมันเกี่ยวพันกับคน พอเกี่ยวกับคน มันไมใชเรื่องขอเท็จจริงเพียงอยางเดียวแลว อารมณ ความรูสึก ความเปนมนุษย ส่ิงเหลานี้มันประกอบกันทั้งส้ิน

พชร : มันเทียบไดไหมที่ตอนน้ัน คนที่จัดการกับม็อบเปนปญญาชนกลุมหนึ่ งซึ่ งอยู ในลอนดอนแลวก็ เมเนจ (Manage) เหมือนกับตอนนี้ที่สถานการณเหมือนมาจากดูไบ

รุงมณี : ไมเหมือน จริงๆ แลวปจจัยเง่ือนไขทุกอยางในการเปล่ียนแปลงตองเกิดจากภายใน ภายนอกเนี่ยอาจจะแบบชวย หรือทําใหเปนตัวเรงสถานการณไดบาง แตไมใชปจจัยชี้ขาด ปจจัยชี้ขาดตองมาจากภายใน ขางนอกมีคนกดดัน มันอาจจะแบบมีแรงกระแทก แตวาไมใชตัวชี้ขาด

DemoCrazy: ขอเรียกรองบนเวที นปช. ที่แกนนํา

ประกาศอยางเชน เมื่อไหรที่ผูชุมนุมเสียเลือดเนื้อ นายกฯ ตองยุบสภาแลวออกนอกประเทศทันที เหมือนกับพยายามใหมันเหมือนอดีตผูนําประเทศในยุคที่ผานมา ที่วาประชาชนบาดเจ็บลมตายแลวรัฐบาลอยูไมได จัดวามันเปนทฤษฎีหรือไม

รุงมณี : ไมใชทฤษฎีหรอก มันเปนขอเสนอ เวลาตั้งเง่ือนไขขอเสนอในการเรียกรอง มันมีหลายดิกรี แลวขอเสนอที่มันจะ เขาคิดวาสรางแรงกดดัน ก็คือขอเสนอที่เปนไปไมได ขอเสนอที่มันเปนไปไมไดมันจะสรางแรงกดดัน จริงๆ การยื่นขอเสนอมันก็จะมีระดับของมันไปเรื่อยๆ แลวแตวาจะคิดคน มันเปนเครื่องมือ ขอเสนอเปนเครื่องมือ

พชร : มันมีจุดเหมือนและจุดตางอยางหนึ่งระหวาง การกอตัวของการเรียกรองของกลุมคน หรือที่เรียกวาม็อบ เขาใจงายๆ เมื่อ

Page 29: DemoCrazy • Volume 18

DemoCrazy .29.

Volume 18 | May 2010

สมัย 35 เทียบกับสมัยนี้ นั่นก็คือมีคนเรียกม็อบ 35 วาม็อบมือถือ เปนการกอตัวของชนชั้นกลางที่มาประทวงเรียกรอง กับชวงนี้มันเรียกไดไหมวาเปนการประทวงของชนชั้นลาง แลวตรงนี้มีจุดเหมือนจุดตางอยางไร รุงมณี : มันปนแลว เมื่อกอนเนี่ยมันเปนเรื่องของชนชั้นกลาง และเทคโนโลยีที่เขามาใหมในชวงนั้น คือมือถือ แตมือถือตอนนั้นมันแพง เพราะฉะนั้นที่บอกวาไมใชชนชั้นกลางระดับลางดวย เปนชนชั้นกลางตองระดับสูง เพราะวาม็อบมือถือตอนนั้น มือถือมันยังแพง นักการเมือง หรือนักธุรกิจใหญๆ (เปนสัญลักษณเฉยๆ) ถูกตอง (แตวาจริงๆ แลวเปนการกอตัวของชนชั้นกลาง) ถูกตอง ชนชั้นกลางที่มันมี เครือข าย เครือข ายใชเทคโนโลยีสมัยใหมที่เขามา

พชร : ที่มีมุขแกกเล็กๆ ที่ตลกก็คือ มือถือตอนนั้นเนี่ยดําเนินกิจการโดย ทักษิณ ชินวัตร (ทุกคนหัวเราะ)

รุงมณี : แตสมัยนี้เนี่ยมันมีความซับซอน ม็อบแดงอาจจะเปนม็อบชนชั้นลางหรือรากหญา แตไมใชมีม็อบแดงอยางเดียว จริงๆ แลวแตเดิมสมัยพฤษภาเนี่ยมันไมมีปญหาเรื่องชนชั้นนะ แตตอนนี้มันคอนขางจะชัด

พชร : คือพฤษภา 35 มันเปนการโตเถียงกันเรื่องกระบวนการและวิธีทางการเมือง สมัยนี้ที่นากลัวกวาคือมันมีการกอรูปของความรูสึกของการแบงชนชั้น แบบรูสึกวาความไมเทาเทียม เพราะระบบชนชั้นที่มีมาแตดั้งเดิม

รุงมณี : ถูกตอง แตอันหนึ่งเนี่ย มันจะตองแยกแยะ ในกลุมเนี่ยมันไมชัดเจน คือมันแฝง มันมีวาระซอนเรน ที่ซอนๆ กันอยูในนั้น กลุมม็อบเส้ือแดงไมไดมีแตรากหญา มีกลุมท่ีอาจจะบอกวาเปนกลุมแนวความคิดซายจัด กลุมผลประโยชนทางการเมือง กลุมที่ เ สียประโยชนทางการเมือง ไมใชกลุมผลประโยชนอยางเดียวนะ คําวาเสียประโยชนทั้งการเมืองและเศรษฐกิจ มันเกี่ยวเนื่องกัน

เพราะฉะนั้นมันมีความซอน มันมีหลายเลเยอร (Layer : แบงเปนชั้นๆ) เวลาวิเคราะหม็อบ วิเคราะหมวลชน เราไมสามารถชี้เปรี้ยงไป แลวก็บอกวา กลุมนี้เปนอยางนี้ หรือถาคนที่จะแกปญหาไมเขาใจธรรมชาติของกลุมม็อบ ก็จะมีความรูสึกที่ผิดพลาด แตอันหนึ่งที่ตองระมัดระวังก็คือวา คนทั่วๆ ไปเนี่ยที่ไมไดมีความเขาใจในเรื่องพวกนี้ มักจะมองแบบเหมารวม

แลวพอเหมารวมมันจะถางความขัดแยงใหหางออกไป แลวก็ยากที่จะเยียวยา คือบางครั้งจะมีทัศนะดูถูกวาฉันเปนกลุมที่ไฮโซหนอย ฉันเปนกลุมคนกรุงเทพฯ ในขณะที่พวกนั้นพวกอีสาน พวกรากหญา พวกถูกซื้อ คือใชกันจนเปนคําพูดปกติแลว แตจริงๆ เนี่ยมันมีเลเยอรของมัน มันอาจจะมีพวกทั้งที่รับจาง พวกที่ต้ังใจจะมา แลวก็พวกที่ถูกใช แลวในนั้นเนี่ยอีกอันหนึ่งก็คือวา มันไมรูวาใครใชใคร คนนี้ใชคนนี้ คนนั้นใชคนนี้ ซอนกันอยูอยางนากลัว ตอนนี้ทักษิณอาจจะถูกใช

แตก็อยางที่บอก สถานการณยังไมจบ เพราะฉะนั้นเนี่ยเราไมตองไปสรุป เพียงแตวาในฐานะผูติดตามการเปล่ียนแปลงของสังคม จะตองมองอยางเขาใจ และอยามองอยางมีอคติ ตองแยกแยะใหได มันมีกี่กลุม กลุมไหนอยางไร

พชร : จริงๆ แลว ผมมองวาสังคมไทยเนี่ยที่ผานมามีลักษณะที่ไมเหมือนกับสังคมอ่ืน ถาผมจะเรียกงายๆ สังคมไทยก็เปนสังคมน้ําปน เราอยูไดโดยเอาผลไมหลายๆ อยางมาปนรวมกัน แลวพอปนออกมาก็อยูกันอยางกลมกลืน

“ขอดีของหนังสือเลมนี้ก็คือ วิธีการเขียนของพี่รุงเนี่ย เปนรูปแบบของการเขียนใน นสพ.ผูจดัการ ในยุคแรกๆ ซึ่งตอนนั้นไดช่ือวาเปนการอธิบายความที่งาย แลวก็มีขอมูลความรูในการดีไซนในแตละเรื่อง มีองคประกอบ มีหลายๆ อยางใหเขาใจงาย เพราะฉะนั้นเลมนี้เนี่ยนาจะเปนหนังสือที่ดีมาก”

พชร สมุทวณิช

ปร ะช า ธิ ป ไ ต ย เป อ นเลือด เหมือนมาไกล แตไปไมถึงไหน เปนผลงานเขียนเลมลาสุดของอ ดี ต เ จ า ห น า ที่ วิ ท ยุ บี บี ซี ภ า คภาษาไทย รุ งมณี เมฆโสภณ ตีพิมพครั้งแรกเมื่อเดือนมีนาคม 2553 โดยสํ านัก พิมพบ านพระอาทิตย เนื้อหาโดยหลักเปนหนังสือบันทึกประวัติศาสตรการเมืองไทย ในชวงเหตุการณพฤษภา 2535 ภายใตสถานการณการตอสูระหวางคณะทหาร นั กก า ร เมื อ ง และประชาชน ที่ทําใหการนองเลือดเกิดขึ้น โดยเฉพาะเบื้องลึกเบ้ืองหลังที่ถูกเก็บงําความจริงมาเกือบ 20 ป ถูกเปดเผยเปนครั้งแรก

รุงมณีอาศัยขอมูลและเกร็ดความรูแบบวงในที่ไมปรากฏอยูทั่วไป และไมเคยมีผูใดบันทึกไว โดยเชื่อมโยงเหตุการณและพฤติกรรมบุคคลผูมีสวนรวมในภาคการเมือง ซึ่งการศึกษาเหตุการณในอดีตไดสงผลใหเห็นถึงความจริงและเบ้ืองหลังของสถานการณการเมืองไทยที่วิกฤตไดชัดเจนขึ้น

ศ.ดร.ชัยอนันต สมุทวณิช ราชบัณฑิตและนักรัฐศาสตรคนสําคัญพูดถึงหนังสือ “ประชาธิปไตยเปอนเลือด” ของ รุงมณี เมฆโสภณ ไวตอนหนึ่งวา “รุงมณี เขียนเรื่องนี้โดยอาศัยขอมูลและเกร็ดความรู “วงใน” ที่ไมปรากฏอยูทั่วไป และไมเคยมีผูใดบันทึกไว และสามารถเชื่อมโยงเหตุการณและพฤติกรรมของบุคคลผูมีสวนสําคัญในสถานการณตาง ๆ ไดเปนอยางดี หนังสือนี้จึงเปนบันทึกทางประวัติศาสตรที่มีคุณคาอยางยิ่ง”

หนังสือประชาธิปไตยเปอนเลือดหนา 470 หนา ทายเลมแถมซีดีบันทึกเสียงประวัติศาสตร “รําลึกเหตุการณ พฤษภาคม 35” ของวิทยุบีบีซี ภาคภาษาไทย หาซื้อไดในราคา 295 บาท ตามรานหนังสือทั่วไป

Page 30: DemoCrazy • Volume 18

.30. DemoCrazy

Volume 18 | May 2010

รุงมณี : แตตอนนี้น้ําปนมันถูกทิ้ง ปนแลวถูกวางทิ้งเอาไว พชร : ถูก มันถูกวางทิ้ง แลวมันมีตัวกระตุนอะไรบาง อยาง

ที่มากเกินไปจนทําใหมันตกตะกอนเปนชั้นๆ ซึ่งเปนเรื่องอันตราย เพราะมันจะไมใชกลายเปนน้ําปนที่อรอย คือเมื่อกอนน้ําปนสังคมไทย มันกลมกลืน เราอยาเอาตะวันตกไปเปรยีบเทียบเลย เพราะเราไมไดมีระบบดีขนาดนั้น เราอยูไดเพราะความเปนน้ําปนแตวาถามันถูกปญหาตางๆ หรือวามันไมมีกลไกที่จะหมุนน้ําปนหรือวาอะไรอีกนานาเนี่ย มันทําใหเกิดการตกตะกอนแลวมันเปนชั้น น้ําปนก็เปนน้ําที่มันเนา กินไมได ปญหาก็คือ มันก็ตองมีกลไกบางอยางที่มาหมุนสังคมไทยใหมันผสมกลมกลืนกันตอไป ซึ่งตรงนี้เนี่ยมันเปนเรื่องสวนหนึ่งเนี่ยมันไมใชใครหรืออะไร แตตองพรอมใจกันทั้งหมดวา ใหผสมกลมกลืนกันอะไรสักอยาง ซึ่งถาจะถกวาน้ําปนไมดกี็เปนอีกเรื่องหน่ึง

DemoCrazy: เมื่อมองความเคลื่อนไหวในตอนนี้ การตอสูทางการเมืองดวยมวลชนเห็นวามีการใชบทเรียนจากเหตุการณพฤษภา หรือเหตุการณนองเลือดอื่นๆ ไมวาจะเปนมอเตอรไซตพฤษภา หรือแมกระทั่งวลีที่วา เสียงปนแตก เลือดนองพื้น จักตองชนะ

รุงมณี : ไมหรอก ทุกอยางมันตอบของมัน ดวยขอเท็จจริงทางสังคม ที่สมัยพฤษภามีเรื่องมอเตอรไซตก็คือ มันเปนเรื่องของการเพ่ิงเริ่มเอามวลชน เมื่อตอนนั้นมอเตอรไซตวินเพ่ิงเกิด ก็มีการมองเห็นศักยภาพของกลุมกอนของคนกลุมนี้ แลวก็จะมีลักษณะของการจัดตั้งทางการเมือง ของพรรคการเมืองมากกวา แตมันก็ไมทั้งหมด มันก็จะมีโดยธรรมชาติเขารวมกลุมกันมา แตระยะหลัก มอเตอรไซตเองของขบวนม็อบหลังๆ ตองยอมรับวาสวนหนึ่ง การเคล่ือนขบวนตางๆ เมื่อกอนม็อบเดิน เวลาจะไปไหนทีนะเดิน แตระยะหลังงายขึ้น มันขึ้นอยูกับสภาพความเปนจริงของสภาพแวดลอม มันรอน เดินไมไหวแลว มอเตอรไซตคลองตัว มอเตอรไซตก็ไดประโยชนดวย พอวิ่งแถวนี้เขาก็ไดเงินดวย เขาจัดวินปกติ เขาสรางวินใหม วินสัญจรวาง้ันเถอะ เขาก็ไดดวย

เขาอาจจะมีสวนรวมทางการเมือง เราไมอยากไปพูดเรื่องรับจางอะไรใหสะเทือนใจกันเปลาๆ มันอาจจะมีบาง แตวามันมีหลายอยาง ไมมีหรอกโนฟรีลันซ (No free lunch : ของฟรีไมมีในโลก) เขาจะเรียกวา คาใชจาย คาเสียโอกาส คาอะไรก็แลวแต มันมี ไมมีโนฟรีแลนซ เพียงแตวาไปๆ มาๆ เนี่ยสวนหนึ่งมันอิน พอมาแลวจะเริ่มตนจากอะไรก็ตาม เดี๋ยวนี้ตามวินมอเตอรไซต จานดาวเทียมก็มีดูทีวี วิทยุก็มีต้ัง แลวของพวกนี้นะ ไมตองไปเอาคนอื่นคนไกลหรอก เส้ือเหลืองนะดูกันสามวันมันก็ติดแลว เส้ือแดงมันก็เหมือนกัน มันเสพพวกนี้ย่ิงกวาละครน้ําเนาอีก มันเปนการผลิตซ้ําแลวไมไดรับขอมูลอื่น

พชร : พ้ืนฐานของสังคมไทยเนี่ย ต้ังแตอดีตถึงปจจุบันอยูไดดวยความเชื่อ

รุงมณี : ก็พอเชื่อแลว จบ เชื่อเธอฉันรับเธอ จบ พชร : แตความเชื่อไมไดไมดนีะ มันมีทั้งความเชื่อที่ดี แตวา

มันมีความเสี่ยงในแงการอยูไดดวยความเชื่อในเปอรเซ็นตที่มากกวา มากกวาเรื่องตรรกะเหตุผลอะไรอยางนี้ มันก็มีสวนที่อันตราย จะมีเรื่องความเชื่อ เรื่องผสมปนเปสัก 20 เปอรเซ็นตก็ยังพอรับได

รุงมณี : พูดจริงๆ แลวเนี่ยนะ ถาในฐานะของคนที่ติดตามเรื่องทางสังคมเนี่ย สถานการณขณะนี้เนี่ยเปนสถานการณที่นาสนใจมาก นาศึกษา นาคนควา แตตองคนควาอยางจําแนกและแยกแยะ แลวก็ที่สําคัญคือ ตองมีความละเอียด ความละเอียดในมนุษย เวลามองปรากฏการณไหนก็ตามเนี่ย ตองมองแลวอะไรที่เกี่ยวกับคนเนี่ย ตองมีความลึกซึ้ง มีความเขาใจ ไมใชวามองอะไรแลวก็เหมา มันงายไป ตองระวัง ของอยางนี้ถาหัดมอง คือถาเริ่มตนมองแบบงายๆ คิดอะไรแบบมักงาย มองอะไรงายๆ มันก็จะโตขึ้นแบบ คิดอะไรงายๆ มันจะขาดความละเอียด ความประณีต เรื่องพวกนี้เนี่ย เธอเห็นใบไมที่เขาบอก เด็ดดอกไมสะเทือนถึงดวงดาว มันตองละเอียดขนาดนั้นนะ มันไมใชวามองอะไรแบบเปนดุนๆ เพราะวาทุกอยางที่มันเกาะเกี่ยวในสังคมเนี่ย มันเกี่ยวโยงถึงกันหมด

แลวไมใชการไปเลเบื้ล (Label: ตราหนา) หรือไปประทับตรา

คน มันงาย บอกไอนี่ลูกคอมมิวนิสต แถมเปนคอมมิวนิสตนอกคอก คือมันไมใช มันงาย แลวถาสมมติวามีบางคนออนไหว โดนดาแบบนี้ นาคิด ตกลงพอกูเปนคอมมิวนิสตนอกคอกจริงเหรอเปลา หรือคิดเลยวาพอเปนคอมมิวนิสต แตไมไดหมายความวาทุกคนในสังคมคิดแบบเหมารวม แตใหระมัดระวัง

คนที่ตองทํางานเกี่ยวกับส่ือ เพราะวาคนที่ทํางานเกี่ยวกับส่ือเนี่ย ไมใชรับผิดชอบแคตัวเอง (แตตองรับผิดชอบตอคนอาน) ถูกตอง คุณเขียนหนังสือคุณตองรับผิดชอบคนอาน ทําไมเราตองเปนบากับคําผิดสักตัวหนึ่ง มันไมควรผิด หรือวามันผิดไปแลวฉันจะทําไง ฉันนอนไมหลับสองวัน หรือคนทําวิทยุพอจะพูดอะไรไป ไมใชแบบจะพูดอะไรก็ได ทีวีก็เหมือนกัน เพราะฉะนั้นเนี่ยหนาที่ของคนทํางานสื่อ มันตองรับผิดชอบ แลวความรับผิดชอบเนี่ยมัน 24 ชั่วโมง มันไมใชรับผิดชอบเฉพาะตอนเขียนหนังสือเสร็จ มันตองรับผิดชอบเมื่อพิมพเสร็จไปแลวอานแลวมันผิดเนี่ย ตองแก ขอโทษเปน ไมใชวาแบบไมเคยขอโทษใครเลย ตองยอมรับเวลาเราผิดเหมือนกัน

DemoCrazy: การทําผิดแลวยอมรับผิด บางทีก็นาคิดวา ความขัดแยงที่เกิดขึ้นก็เพราะวาไมมีใครยอมใคร

รุงมณี : มนุษยมันมีทิฐิ มันมีอีโก ปญหาอีกอยางหนึ่งก็คือวามุงแตชัยชนะ แลวคิดอยางเดียว พวกนี้ไมเคยเลนกีฬา ถาเลนกีฬาแลวมันรูวาไมมีใครชนะตลอดหรอก บางวันเราก็สุขภาพไมดี บางวันเรานอนไมพอ บางวันเราแวนหาย เพราะฉะนั้น เง่ือนไขตางๆ มันมากําหนดหมดแลว วาวันนั้นเปนอยางไร สถานการณในขณะนั้นเปนอยางไร เพราะฉะนั้นนักยุทธศาสตรในการประเมินสถานการณเปนเรื่องที่สําคัญ การขาว ขอมูล เปนเรื่องที่สําคัญ ขอมูลผิด ทุกอยางผิดหมด เหมือนกับที่คุณสนธิ (ล้ิมทองกุล) ชอบพูด กลัดกระดุมเม็ดแรกผิด มันก็ผิดจนเม็ดสุดทาย ก็ใสเส้ือลักๆ ล่ันๆ

พชร : ขอถามอีกคําถามหนึ่ง ทุกครั้งที่เกิดวิกฤตการณเกี่ยวกับเรื่องคน วิกฤตการเมือง ทุกครั้งก็คือจบเปนรูปแบบเดียวกัน แลวก็ตามประเพณีดั้งเดิมของไทยแตโบราณกาลมา คิดวาครั้งนี้จะเปนอยางนั้นหรือเปลา

Page 31: DemoCrazy • Volume 18

DemoCrazy .31.

Volume 18 | May 2010

รุงมณี : ตอบไมได อาจจะ หรืออาจจะไม แตถาแบบเดิมก็โอเค หนังมวนเกาๆ แตถาไม มันจะเกิดอะไรขึ้น หลายคนกําลังคาดหมายวา เออ ครั้งนี้อาจจะมีการเปล่ียนแปลงใหญ อาจจะเปนการเปล่ียนแปลงที่ไมเหมือนเดิมอีกตอไปแลว หนาประวัติศาสตรจะเปล่ียนเลยหรือเปลา มีคนคิด แตถามเรา ไมรู แตเราวิตก วิตกไมรูไง เพราะวาเราไมไดอยูกับปจจัยที่ชี้ขาดการเปลี่ยนแปลงนั้น ถาเราอยูหรือเรากุมสภาพ ถาตรวจสอบไดหรือถามวาจะเอาอยางนี้หรือเปลา จะเอาอยางนี้ไหม จบ

DemoCrazy: พูดงายๆ ก็คือวา ทุกส่ิงทุกอยางมันไมมีสูตรสําเร็จ

รุงมณี : สําหรับเรา เราไมเชื่อในสูตรสําเร็จ เราไมเชื่อในสูตรสําเร็จวามันจะเปนอยางนี้ เนื่องจากวามันมีตัวแปรที่ควบคุมได และตัวแปรที่ควบคุมไมไดเลย ไมใชควบคุมยาก ควบคุมไมได ควบคุมยากอาจจะควบคุมได ควบคุมไมไดคือนอกเหนือการควบคุม

DemoCrazy: พูดถึงความแตกแยกในสังคมไทยก็คือวา มันอาจจะมีอีกส วนหนึ่ งที่ แบบว า มันควบคุมไม ไดแล ว โดยเฉพาะอยางยิ่งแนวคิดทัศนคติเกี่ยวกับการเมือง โดยเฉพาะเรื่องของบุคคล เรื่องของกลุม เรื่องของฝายตางๆ

รุงมณี : เรายังเชื่อวา ไมคิดวาทุกอยางมันเลวรายถึงขนาดนั้น มันอาจตองใชเวลา เพราะเราปลอยเวลามา มันพัฒนามาจนความขัดแยงมันมาสูจุดนี้ เราอยาไปหวังอะไรแคชั่วขามคืน มันอาจจะตองใชเวลาอีกในการที่จะเยียวยาหรือแกไข แตตองมองโลกในแงบวกวามันนาจะตองทําได แตเราไมไดหมายความวาคนในสังคมตองรักกัน ตองคิดเหมือนกัน การคิดตางไมใชปญหา คิดไมเหมือนกันก็ไมใช ปญหา ผัวเมียที่เขาบอกนอนเตียงเดียวกัน ยังฝนคนละเรื่อง ก็ยังรักกันได มีลูกกันได คนในสังคมมันไมจําเปนตองคิดเหมือนกัน

การแตกแยกทางความคิดไมใชเรื่องผิดปกติ มันเปนปญหาพ้ืนฐานของคนที่อยูรวมกันมากกวาหนึ่งคน ไมตองหน่ึงคนดวย ตัวเราเองยังขัดแยงในจิตใจ เรายังสับสนในตัวเราเอง เรายังตัดสินใจไมได น่ันขนาดตัวเราคนเดียว มีคนมากกวาหนึ่งคน มันก็ยอมมีปญหาแตปญหาพวกนี้ไมใชเรื่องแบบ The End of The World (วันโลกาพินาศ) มันไมใชเรื่องที่จะแตกดับกันไปตรงนี้ เพียงแตวาในเมื่อเราปลอยเวลาใหมันขยายขัดแยงกันมาขนาดนี้เนี่ย เราก็อยาหวังวา อะไรก็ตามทําใหพรุงนี้ทุกอยางเหมือนเดิม ทุกคนรักกัน จูบปากกันเหมือนเดิม ไมใช มันไมงายขนาดนั้น มันก็ตองใชเวลาอีกเหมือนกัน

DemoCrazy: เหตุการณพฤษภา 35 มีการกอตั้งสมาพันธประชาธิปไตย ที่ตอนนั้นมีทั้ง พล.ต.จําลอง ศรีเมือง มีทั้งหมอเหวง โตจิราการ จากที่เมื่อกอนมีอุดมการณเหมือนกัน มาวันนี้ตางฝายตางก็แยกยายกันคนละเวที บงบอกอะไร

รุงมณี : อันนี้ตองไปอานที่ลุงจําลองใหสัมภาษณ ตอนท่ีอยูรวมกันไมมีบุญคุณอะไรกัน มันก็รวมกัน แลวพอตางคนตางไป ตางคนตางก็มีอุดมการณใหมของตัวเองก็วากันไป คือตอนที่รวมกันก็รวม ตอนที่เผชิญหนาก็เผชิญหนากัน มนุษยมันเปล่ียนแปลงได อยาไปฟูมฟายกับมัน เมื่อมันเปล่ียนก็เปล่ียน แตตองยอมรับวามันเปนอยางนี้ มันเปนอยางนี้นี่เอง

DemoCrazy: จากที่ไดคนควาหาขอมูลจนมาเปนหนังสือเลมนี้ ไดอะไรจากการทําหนังสือประชาธิปไตยเปอนเลือดเลมนี้ และมีส่ิงใดบางที่นาจะเปนบทเรียนกับบานเมืองในปจจุบัน

รุงมณี : จริงๆ มันเยอะในแงมุมหลายแงมุมที่ไดเนี่ย เราจะมีความเขาใจ มีผลึกตอสถานการณไดชัดเจนขึ้น วาเหตุการณในกรณีพฤษภาเนี่ย มันมีรายละเอียดของเหตุการณที่ไมนาเกิด แลวเราก็ไดรูวามันมี จริงๆ ในนี้ยังไมไดเขียนอีกตั้งเยอะ อยางปมปญหาความออนดอย ความออนหัดของหนวยทหารบางหนวย ทําใหสถานการณมันนําไปสูความรุนแรงมากขึ้น

สงกรานตเดือดเลือดสาดกราดกลางกรุง

ปะทะพุงวุนวายรายหนักหนา พรอมทหารตํารวจราษฎรประชา อางตนมาคนหาปรพชาธิปไตย

10 เมษาเผชิญหนาเผด็จศึก เขาขอยึดืนพื้นที่ตาวผลักไส ตางฝายตางตาตอตอวากันไป สุดทายไทยที่เจ็บช้ําย้ําน้ําจา

ประเทศไทยเหตุใดเปนเชนนี้ ไทยนองพี่แตกฝายทําไมหนา อุดมการณแตกตางที่อางมา อางรักษาอางขาทําเพื่อไทย

กี่ชีวิตกี่เลือดเนื้อที่ตองสูญ เพื่อเทิดทูนทดแทนแลกสิ่งใหม เลอืดนั่นหรือคือการแลกอธิปไตย ไทยทําไทยแลวใครจะชวยเรา

ปูกอบกูเอกราชมายาวนาน ไยลูกหลานไมสํานึกกลับโงเขลา อันขวานไทยไมขึ้นใครไทยของเรา ตองปวดราวไทยแยกแตกกันเอง

หรือการตัดสินใจในบางจุด ทําไมถึงทําใหสถานการณมันสงบ มันยุติลงไปได จริงๆ สถานการณพอหลังจะเขาเฝาฯ ยังไมจบ คือส่ิงเหลานี้เนี่ย Along the Line ก็คือในขั้นตอนของการศึกษาคนควา ตองบอกวา ระหวางในการทําขอมูล เราไดยอยขอเท็จจริง ไดรับรูขอมูลใหม เราจะมีความเขาใจตอสถานการณไดมากขึ้น ในขณะเดียวกันก็เก็บรับบทเรียนส่ิงเหลานี้

ส่ิงที่เราไดแนๆ ที่สุดเนี่ยก็คือวา ความรุนแรงไมใชคําตอบในการแกไขปญหา ความรุนแรงมีแตมันไดสรางบาดแผลและความราวรานใหกับผูที่ไดรับผลกระทบ แลวกวาความรูสึกเหลานี้เนี่ยจะไดรับการเยียวยามันนาน หรือบางคนเนี่ยเปนบาดแผลซึ่งไมสามารถที่จะลบลางออกไปจากจิตใจไปได และมันเหมือนเปนบาปที่ตกอยู

บางครั้ง เราจะไมเขาใจเลยวา คนที่ผานเหตุการณมาทําไมเขาคิดอยางนี้ หรือบางคนที่ผานเหตุการณนี้นะ เหตุการณพฤษภาเนี่ย กลัวมาก ยอมทําทุกอยางก็ไดที่จะไมใหเกิดการสูญเสีย จนบางครั้งในสายตาของบางคนเนี่ย กลายเปนเหมือนกับพวกขี้แพ ไมสู กลัว ขี้ขลาด แตจริงๆ แลวเนี่ย สําหรับเขาเนี่ยมันมีบาดแผลในใจ ซึ่งถาคนไมไดผานหรือไมไดอยูในสถานะเขาอาจจะไมเขาใจ

ส่ิงที่เราทํางานสวนหนึ่ง นอกจากความเขาใจสถานการณแลว เราไดความเขาใจตรงนี้ มนุษยแตละคนไมเหมือนกัน มีมิติที่แตกตาง มีการรับรูเหตุการณๆ หนึ่งเนี่ย ความรูสึกที่เขาไดรับเนี่ยไมเทากันนะ บางคนสะเทือนใจมาก บางคนสะเทือนใจนอย บางคนลืมแลววันรุงขึ้น แตบางคนเนี่ยฝงใจไปอีกสิบๆ ป นั่นคือส่ิงที่เราได

เรายังถือวาเปนนักเรียนนอยในการเรียนรูประวัติศาสตรทางการเมือง เราก็ยังเรียนรูตอไปเรื่อยๆ เพียงแตวาเรามีเวลาที่จะมาทบทวน รายเรียงเหตุการณ เอาผลึกที่เราไดมาเผยแพร เราไมคิดวามันสมบูรณที่สุด แตเราคิดวาเรามีความตั้งใจที่จะทํางานในเส้ียวหนึ่ง เพ่ือที่จะไดเผยแพรออกไปเทานั้น

บางบทกวี กาสะลอง

สงกรานตเลือด

Page 32: DemoCrazy • Volume 18

DemoCrazy

ป ฏิ วั ติ ค ว า ม คิ ด ติ ด อ า ว ุธ ป ญ ญ า • http://www.demo-crazy.com

18

พฤษภาทมิฬ

‘ความรนุแรง’ไมใชคําตอบ

สัมภาษณพิเศษ รุงมณี เมฆโสภณ กับทัศนะวาดวย “ประชาธิปไตยเปอนเลือด”

26


Recommended